สิบห้าตุลาสองห้าห้าสาม

ยี่สิบสามนาฬิกาห้าสิบนาที คืนวันพฤหัสบดีที่สิบสี่ตุลาคมพุทธศักราชสองพันห้าร้อยห้าสิบสาม สามสิบเจ็ดปีให้หลังจากเหตุการณ์ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาและประชาชน สี่เดือนให้หลังจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่แยกราชประสงค์ สองอาทิตย์ให้หลังจากเหตุการณ์ระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่น หนึ่งวันให้หลังจากเหตุการณ์ช่วยชีวิตพนักงานเหมืองที่ชิลีขึ้นสู่พื้นดิน และ.... ยี่สิบแปดปีให้หลังกับความเจ็บปวดของผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ให้กำเนิดผู้ชายคนนึง ได้มีโอกาสลืมตาตื่นขึ้นมาดูโลกสีน้ำเงินสดใสใบนี้...
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์รอบหนึ่งใช้เวลาประมาณสามร้อยหกสิบห้าจุดสี่วัน ปีหนึ่งเลยมีสามร้อยหกสิบห้าวัน พอครบรอบปีที่สี่จึงต้องมีสามร้อยหกสิบหกวันเพื่อให้รอบการโคจรพอดี หนึ่งปีมีสิบสองเดือน หนึ่งเดือนมีสี่อาทิตย์ หนึ่งอาทิตย์มีเจ็ดวัน หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงมีหกสิบนาที หนึ่งนาทีมีหกสิบวินาที ผมไม่รู้ว่าอสุจิของผู้ชายใช้เวลาเดินทางไปถึงรังไข่กี่วินาที แต่ทุกๆวินาทีเรากำลังแข่งขันกับพี่น้องของเราอีกไม่ต่ำกว่าสิบล้านคน สุดท้ายแล้ว ผู้ได้รับชัยชนะหรือประสบความสำเร็จก็มีเพียงแค่คนเดียว ถ้าโชคดีหน่อยรางวัลของผู้ชนะอาจจะมีมากกว่าหนึ่งรางวัลกรณีที่ได้เกิดมาเป็นฝาแฝด
มนุษย์เราต่างต้องต่อสู้ดิ้นรน แก่งแย่ง ชิงดีกันตั้งแต่ก่อนจะอยู่ในท้องของแม่ กว่าจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ที่โชคดีที่สุดที่จะได้ถือกำเนิดเกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ โชคดีแค่ไหนที่เราได้เป็นผู้โชคดีคนนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้แล้ว ในทางพุทธศาสนายังเชื่อว่า การที่บุคคลต่างๆได้เกิดมาพบเจอ รู้จัก รักและเป็นศัตรูกันนั้น ก็ย่อมเกิดจากกรรมในอดีตชาติที่ส่งผลต่อเนื่องผูกพันธ์ทำให้เรา เขาต้องมาพบเจอกันทุกชาติๆจนกว่าจะเกิดอโหสิกรรมแก่กันขึ้น แม้แต่พระโคตมพุทธเจ้าเอง ก็เคยกระทำอกุศลกรรมแก่พระเทวทัตในชาติก่อนนับย้อนหลังไปหลายแสนกัปป์ จนเป็นเหตุให้พระโคตมพุทธเจ้าและพระเทวทัตต้องเกิดมาเป็นศัตรูกันทุกชาติจนแม้กระทั่งชาติสุดท้ายที่พระองค์ประสูติมาเป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตก็ยังพยายามปลงพระชนม์พระองค์จนแม้กระทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิตที่ข้อพระบาท ท้ายสุด พระเทวทัตสำนึกผิด เกิดสัมมาทิฏฐิและต้องการจะเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขออโหสิกรรมแต่กรรมอันหนักที่กระทำแก่พระพุทธเจ้า ก็ส่งผลให้ธรณีสูบพระเทวทัตลงสู่นรกภูมิก่อนที่จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำ
เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่จะต้องเสด็จลงมาตรัสรู้ในชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ ถึงแม้ว่าบารมี ฌาณสมาบัติของแต่ละพระองค์ จะสามารถทำให้พระองค์ไปจุติอยู่ในภูมิที่สูงกว่า แต่ทุกพระองค์ก็เลือกประสูติในมนุษยภูมิ ทั้งนี้ ก็เพื่อทำให้มนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย มีศรัทธาเชื่อมั่นในคำสอนของพระองค์ ว่าคนธรรมดาก็สามารถบรรลุธรรมได้จริง ไม่จำเป็นต้องเป็นเทวดานางฟ้าแต่อย่างใด เพียงแต่เรารู้และเข้าใจว่าอะไรคือสัมมา และอะไรคือมิจฉา (สัมมาคือความชอบ มิจฉาคือความผิด) เพื่อกำหนดจิต และควบคุมใจตนเองไม่ให้มิจฉาทิฏฐิ ครอบงำ และเผลอกระทำอกุศลกรรมไปโดยไม่ตั้งใจ ภาวะของการไม่รู้เท่าทันกิเลสทั้งหลายนี้นั้น พุทธศาสนาใช้คำว่า “อวิชชา” บางครั้งเรารู้และมีตัวอย่างของอกุศลกรรมที่ปรากฎต่อหน้าเรามาแล้วแทบจะนับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปอย่างนานนับหลายๆแสนกัปป์ที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิด ทำให้เราเกิดมาทีไร ก็ลืมไปซะทุกชาติว่าไอ้สิ่งที่กำลังกระทำนั้นเป็นบาป จนเผลอทำมันซ้ำเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนต้องเกิดมาตามกรรมวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น ก็คิดดูเอาเองละกันว่า ถ้าเราระลึกอดีตชาติของเราได้ เราคงเกิดมาพร้อมบริบูรณ์ทั้งรูปและคุณสมบัติกันทุกคน เพราะเรารู้แล้วนี่ครับว่า กรรมอันใดในชาติก่อน ที่จะส่งให้เรามาเกิดเป็นอย่างนี้
สัตว์ทุกตัว ย่อมรักอิสระภาพ อยากมีเสรี ไม่อยากอยู่ในห่วงโซ่  หลายๆครั้งเราจึงเห็นเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยกันต่างๆนาๆ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เราโชคดีที่ปัญญามีน้อย ไม่สามารถตัดวงโคจรของการเวียนว่ายตายเกิดไปได้ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขั้นตอนในการออกจากวงโคจรต้องทำอย่างไร แต่ก็มีสัตว์ผู้เสียสละ ค้นคว้า ทดลอง อดทน วนเวียน บำเพ็ญบารมีจนได้เกิดเป็นพระโพธิสัตว์และสร้างกุศลต่อจนบริบูรณ์ เพื่อให้ชาติสุดท้ายของท่านนั้น ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อชี้แนะแนวทางในการบำเพ็ญตนให้หลุดจากห่วงกรรมอันนี้ แม้คำสอนของพระองค์ จะผ่านมาเนิ่นนานกว่าสองพันหกร้อยปีแล้ว แต่ความทันสมัยของธรรมะ กลับยิ่งทวีขึ้นทุกวันเมื่อวิทยาศาสตร์เจริญขึ้นและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ผมขนลุก นัยน์ตาเบิกโพลงและหัวใจเต้นแรง เมื่อได้รับชมสารคดีมิติโลกหลังเที่ยงคืนของช่องทีวีไทย เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ที่ได้นำเสนอเรื่องของจักรวาลยาวนานถึงสองสัปดาห์เต็มๆ แม้จะดึก แต่ผมก็ต้องรอชมทุกคืน สาเหตุที่ทำให้ผมมีอาการอย่างนั้น เนื่องจากตอนหนึ่งของสารคดี ได้กล่าวถึงเอกภพหรือกาแล็คซี่ว่า จักรวาลประกอบด้วยเอกภพหลายๆเอกภพรวมกัน (อาจจะเป็นแสนล้านเอกภพ) เอกภพประกอบไปด้วยระบบสุริยะหลายๆระบบรวมกัน ระบบสุริยะประกอบไปด้วยดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์   อุกาบาต ดาวหาง ฝุ่น ผง ก๊าซ หลายๆอย่างรวมกัน แต่ละกาแล็คซี่มีดาวฤกษ์หรือดาวแบบเดียวกับดวงอาทิตย์อยู่ราวๆแสนล้านดวง และแต่ละดวงก็มีขนาดตั้งแต่ใกล้เคียงดวงอาทิตย์ของเรา ใหญ่กว่าล้านเท่าของดวงอาทิตย์เรา หรือใหญ่กว่าแสนล้านเท่าของดวงอาทิตย์เรา ดังนั้น ลองคิดดูว่า ทั้งจักรวาล จะมีระบบสุริยะที่มีดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่กี่ระบบสุริยะ นักดาราศาสตร์ค้นพบเรื่องนี้ จากการเฝ้าสังเกตุ ส่องกล้องจากพื้นโลก และท้ายที่สุดคือส่งยานอวกาศไปถ่ายภาพนอกโลก แต่... พระพุทธองค์ตรัสถึงเรื่องนี้มาตั้งแต่สองพันหกร้อยปีที่แล้ว ในพระไตรปิฎกตอนหนึ่งนั้น ได้ตรัสถึงความเป็นมาแห่งโลก มนุษย์ และกิเลส ทรงได้กล่าวถึงโลกของเราโดยอรรถกถาจารย์ใช้คำว่า โลกธรรม แทนโลกที่เราอยู่อาศัยว่า โลกธรรมมีอยู่หลายโลกธรรม แบ่งออกได้เป็นสามพวกใหญ่ๆคือ โลกธรรมขนาดเล็ก คือโลกธรรมแบบที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นโลกธรรมที่มีสัตว์ไปเกิดและอาศัยอยู่ และโลกธรรมขนาดกลาง มีขนาดใหญ่กว่าโลกธรรมของเราหลายแสนเท่า และสุดท้ายโลกธรรมขนาดใหญ่ที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกธรรมของเราหลายล้านเท่า แต่ไม่ทรงตรัสถึงการกำเนิดของโลกหรือจักรวาล ทรงให้เหตุผลว่า ไม่ใช่สิ่งที่รู้แล้วจะทำให้พ้นทุกข์ เพราะพระองค์สอนให้หลุดพ้นจากทุกข์อย่างเดียว สิ่งใดที่ไม่ใช่ทางที่ทำให้พ้นทุกข์พระองค์ก็ไม่สอน แต่ผมสันนิษฐานเองว่า จักรวาลยิ่งใหญ่เกินประมาณการถือกำเนิดเกิดขึ้นของจักรวาลใช้เวลายาวนานมากๆๆๆ  เกินกว่าที่ระดับสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดาๆอย่างเราๆจะศึกษาและเข้าใจ คงต้องใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีโพรเซสเซอร์ขนาดเท่าดวงอาทิตย์และฮาร์ดดิสก์ขนาดเท่ากาแล็คซี่ถึงจะเก็บข้อมูลเรื่องจักรวาลและประมวลผลต่างๆออกมาให้เรารับรู้ได้ พระพุทธองค์ เลยไม่ตรัสถึงดีกว่า ประมาณว่าเมื่อเจ้าบรรลุอรหัตผล เจ้าก็จะเข้าใจเอง
ผมใช้คำว่า พระพุทธศาสนาจะพิสูจน์ความทันสมัยยิ่งๆขึ้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์สามารถค้นคว้าวิจัยและค้นพบทฤษฎีใหม่ๆได้ต่อไปในอนาคต เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบและสั่งสอน ล้วนเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้จริง และมันมีอยู่แล้วในธรรมชาติ เพียงแต่เราไม่รู้จักมันเท่านั้น สารคดีมิติโลกหลังเที่ยงคืนทำให้ผมอึ้งอีกครั้ง เมื่อกล่าวถึงโลกตอนหนึ่งว่า โลกของเราถือกำเนิดมานานมาก มีวิวัฒนาการต่างๆเรื่อยมาจนเป็นอย่างปัจจุบัน แต่ช่วงเวลาที่เราอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ถ้านับเป็นเศษส่วนมนุษย์ถือกำเนิดและอาศัยอยู่ในช่วงส่วนที่สี่ของวิวัฒนาการของโลก ซึ่งก็คือส่วนสุดท้ายก่อนที่โลกจะดับสลายไปนั่นเอง แต่ส่วนสุดท้ายนี้ ก็ใช้เวลาเป็นล้านปีขึ้นไป ซึ่งไปตรงกับเนื้อความในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงการเกิดขึ้นของมนุษย์ว่า ถือกำเนิดขึ้นมาในกัปป์ที่สี่ของวิวัฒนาการของโลก (กัปป์ที่หนึ่งคือระยะเวลาที่โลกดับสลายไป กัปป์ที่สองคือระยะเวลาที่โลกกลายเป็นฝุ่นผงธุลีและเริ่มก่อตัวกันขึ้นมาใหม่เป็นโลกแข็งๆ กัปป์ที่สามคือระยะที่โลกเริ่มวิวัฒนาการตัวเองจนเริ่มมีสิ่งมีชิวิต และกัปป์ที่สี่ที่เราอาศัยอยู่คือกัปป์ที่โลกเริ่มมีสภาพอย่างในปัจจุบัน) นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ว่า พระพุทธศาสนามีความทันสมัยอยู่เสมอ แม้แต่ไอน์สไตน์ผู้เป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่ไม่เชื่อเรื่องของศาสนา ก็ยังกล่าวไว้ว่า ถ้าจะให้เขาต้องเลือกศรัทธาในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ศาสนาที่เขาจะนับถือนั้น ต้องเป็นศาสนาที่สอนตามหลักความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม คำสอนนั้นก็ย่อมต้องพิสูจน์ได้จริงเสมอ และถ้าจะมีศาสนาที่สามารถทำได้อย่างนั้น ก็เห็นจะมีแต่พุทธศาสนานี่แหละ ที่เข้าข่ายกับที่เขาคิดที่สุด
ดร.อาจอง ชุมสาย อดีตนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่าเอง ก็เคยกล่าวว่าตนเองเป็นคนเรียนไม่เก่ง แต่แรงบันดาลใจเกิดจากคืนหนึ่งที่มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพบเห็นบางสิ่งคล้ายจานบินต่างดาว ตั้งแต่นั้นมาก็พยายามศึกษาหาข้อมูลในห้องสมุดเพื่อหาคำอธิบายถึงเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ที่สุดแล้ว ก็พบกับหนังสือที่กล่าวถึงการนั่งสมาธิ และตั้งแต่นั้นมา ท่านก็ทำสมาธิทุกวัน จากเด็กที่เรียนไม่เก่งคนหนึ่ง กลายเป็นนักเรียนเกรดนิยมอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดังของอังกฤษจนนาซ่าทาบทามไปร่วมงาน พระพุทธศาสนาก็เช่นกัน พระพุทธเจ้าแสดงธรรมที่เป็นเหตุแห่งการหลุดพ้นก็โดยการปฏิบัติ สมถะและวิปัสสนากรรมฐาน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะมีบารมีพอที่จะปฏิบัติกรรมฐานและบรรลุธรรมในชาติเดียว พระอรหันต์ในยุคพุทธกาลบรรลุธรรมได้โดยพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเพียงนิดหน่อย เนื่องจากพระองค์ใช้พุทธญาณของพระองค์ตรวจดูแล้วว่าผู้ใดที่มีบารมีในชาตินี้ที่จะสามารถบรรลุธรรมได้ อย่างเราๆท่านๆ คงต้องอีกหลายชาติ เปรียบเป็นบัวสี่เหล่าพวกเราก็คงเป็นประเภทบัวใต้น้ำ ที่มีโอกาสโดนพวกหอย เต่า ปลากัดกินก่อนที่จะมีโอกาสโผล่พ้นน้ำขึ้นมาบานชูช่อ พระองค์จึงทรงวางรูปแบบการสร้างและสะสมกุศลกรรมให้เวไนยสัตว์ เป็นสะพานก้าวข้ามสังสารวัฏไว้เป็นลำดับ เป็นลำดับแห่งการดัดสันดานและค่อยๆผลาญกิเลสอย่างชาญฉลาดและมีเหตุผล ตามแต่บารมีของแต่ละสัตว์ดังนี้คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องมีปัญญาจึงจะบรรลุธรรม หนทางเกิดแห่งปัญญาก็คือหนทางการสร้างบุญ บุญคือกรรมฝ่ายดีหรือกุศลกรรม เหตุแห่งการกำเนิดกุศลกรรมเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุสามนั่นเอง ทรงตรัสถึงเหตุแห่งการสร้างบุญสามทางคือ ทางที่หนึ่งโดยการให้ทาน เช่น บริจาคทรัพย์ ใส่บาตรพระ หรือให้ชีวิตปล่อยสัตว์เป็นต้น เหล่านี้คือการสร้างบุญด้วยการให้ หรือเรียกว่าทานมัย (บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ทาน) พระพุทธเจ้าตรัสว่าบุญประเภทนี้ได้อานิสงส์แห่งบุญน้อย แต่ก็เป็นเหตุปัจจัยแห่งการละกิเลส ลดความตระหนี่ถี่เหนียว ถือเป็นการเริ่มสร้างบารมีชั้นต้น ทางที่สองคือการรักษาศีล เช่นการรักษาศีลห้าของฆราวาส การรักษาศีลสิบของสามเณร (ถือศีลสิบ แต่เรียกว่าสามเณร ทำไมไม่เรียกว่าสิบเณรกันนะ?) และการรักษาศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดของภิกษุ หรือที่เรียกว่า ศีลมัย (บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล) พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญศีลมัยว่าได้อานิสงส์แห่งบุญมากกว่าทานมัยมาก และเป็นปัจจัยแห่งการสะสมบารมีเพื่อบรรลุธรรมชั้นสูงได้ พระภิกษุท่านก็อาศัยการทำบุญด้วยวิธีนี้กันทั้งนั้น ลองคิดดูว่า ถ้าบุญคือการถวายสังฆทานหรือใส่บาตรพระ แล้วพระสงฆ์ท่านจะสร้างบุญยังไง ในเมื่อท่านไม่มีทรัพย์สินเงินทองจะไปทำอย่างนั้น เมื่อมนุษย์ทำทานบ่อยจนเป็นนิสัย การละในสิ่งที่หลงอย่างทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญก็จะสามารถกระทำได้ง่าย จึงเป็นเหตุให้สามารถเพิ่มบารมีขึ้นโดยการถือศีลตามแต่อัตภาพของมนุษย์คนนั้นๆ ทางที่สามคือการเจริญภาวนาปฏิบัติกรรมฐานหรือเรียกว่าภาวนามัย (บุญสำเร็จได้ด้วยการเจริญกรรมฐาน) พระพุทธเจ้าสรรเสริญภาวนามัยว่าเป็นประหนึ่งหนทางลัดในการเพิ่มบารมีเพื่อบรรลุธรรมชั้นสูง ที่สุดแห่งการบวชเรียนในพระพุทธศาสนาก็คือการปฏิบัติกรรมฐานเพื่อขจัดกิเลสและสร้างปัญญารู้แจ้งเห็นจริงให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏนี้นั่นเอง เริ่มต้นด้วยการทำทาน เข้มข้นด้วยการรักษาศีล ยิ่งยวดด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน ก็จะพบพานกับปัญญาวิมุตติที่สุดแห่งการบรรลุอรหัตผล พระองค์ทรงวางรูปแบบขั้นตอนการก้าวข้ามสะพานสังสารวัฏไว้โดยลำดับ แต่ปัจจุบันเราห่างวัด ห่างคำสอน จนหลายๆคนคิดว่า ถ้าจะทำบุญให้ได้บุญ ก็ต้องไปวัดถวายกระป๋องเหลืองหรือใส่บาตร
เมื่อมีบุญบารมีพอจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ร่วมโลกเดียวกันแล้ว การได้เกิดมาพบกันก็ย่อมหมายความว่าเคยสร้างบุญสร้างกรรมด้วยกันเกี่ยวเนื่องกันมาหลายภพ ควรหรือไม่ที่จะให้อิสระแก่กันและกัน อยู่กันอย่างสันติ เลิกจองเวรพยาบาทขู่อาฆาตทำร้ายทำลายซึ่งกันและกัน เราทำกับเขาชาตินี้ เขาก็มาตามเอาคืนชาติหน้า อโหสิกรรมกันดีกว่า ทั้งชาตินี้ชาติหน้าไม่เบียดเบียนกัน ผู้รักกันอยู่ร่วมกัน ควรหรือไม่ที่เราจะหยุดทำร้ายทั้งทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมกับเขา ผู้โกรธเกลียดกันควรหรือไม่ที่จะอโหสิและเลิกจองเวรกัน เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ย่อมไม่มีคำว่าสายกับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ผู้ล้มเหลวกับชีวิต ผิดหวังในสิ่งที่หวัง ควรแล้วหรือไม่ที่จะคิดปลิดชีวิตของตัวเอง ถ้ากำลังคิด ก็ให้คิดว่าเป็นการเห็นแก่ตัวไหมที่ชิงคนอื่นๆมาเกิด แต่กลับทำลายชีวิตตัวเองลงไป ตัดโอกาสสร้างบารมีของคนอื่นเขา หรือคนที่กำลังคิดจะทำอะไรเลวๆ ก็ให้คิดซะใหม่ว่า เราแก่งแย่งกันมาเกิดกับชีวิตนับล้าน เมื่อแย่งโอกาสคนอื่นมาเกิดได้แล้ว ควรแล้วหรือ โอกาสในการได้เกิดมา จะเอาไปใช้ในการทำลายผู้อื่น
ขอบคุณพ่อกับแม่ที่สร้างผมขึ้นมา อบรมสั่งสอนให้ผมเป็นคนดี แม้จะไม่ได้ดีอย่างคนอื่นเขา แต่พ่อกับแม่ของเรา ก็ไม่เคยบีบบังคับให้ลูกทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น แต่กลับค่อยๆสร้างปัญญา ให้รู้จักคิด และรู้จักใช้ชีวิตทุกวินาทียังไงก็ได้ ที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน วันเกิดปีนี้ พี่สาวบอกให้ตื่นไปทำบุญใส่บาตรตอนเช้า ช่วยเป็นแรงใจให้ผมกันหน่อย ให้ผมตื่นไปใส่บาตรตอนเช้าทัน!!! อย่างน้อยที่สุด ผมคงได้ทำบุญวันเกิดของผมปีนี้แล้ว กับการสร้างธรรมทานแก่ผู้อ่านทุกท่าน ไม่มากก็น้อย สัพพะทานัง ธรรมมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง อย่างน้อยที่สุด คงทำให้หลายๆคนคิดได้ หรือคลายความไม่รู้ให้กับพุทธศาสนิกชนหลายๆคน บุญกุศลใดๆ ที่ได้จากบทความนี้ ขออุทิศแด่คุณพ่อและคุณแม่ผมทั้งสองท่าน เจ้ากรรมนายเวร ญาติสนิทมิตรสหาย คุณครูบาอาจารย์ เทวดา พญายม เปรตนรก อสูรกาย สัมพเวสี สัตว์เดรัจฉาน ทุกตัวสัตว์ ขอให้ตั้งมั่นในศีลธรรม มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต เกิดอยู่ใต้บวรพุทธศาสนาทุกชาติ เกิดเป็นชายได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนาทุกชาติ จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญฯ สาธุ...
เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งในการศึกษาพุทธศาสนาซึ่งเป็นธรรมชั้นสูง เป็นสิ่งที่น่าอายอย่างยิ่งที่ต้องกล่าวธรรมมะยกพระธรรมมาอ้างในที่ชุมนุมในยุคของโลกดิจิตอล เป็นเสมือนคนบ้าที่ศรัทธากับพุทธศาสนาทั้งที่ยังนุ่งห่มเครื่องแต่งกายของฆราวาส ศรัทธาแรงกล้าทำไมไม่ไปบวช บวชแล้วปฏิบัติไม่ได้น่าอายและเปลืองข้าวสุกมากกว่า แต่ผมเลือกมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ไม่พร้อมก็ไม่ต้องทำ ศีลข้อใดยังละไม่ได้ก็ไม่ต้องละ แต่ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง ผมคงมีปฏิปทาที่สูงกว่านี้ และพร้อมที่จะเดินในทางสายธรรมแบบเต็มกายและใจโดยแท้จริง
สุขสันต์วันเกิดรอบปีที่ยี่สิบแปด ผมใช้เวลาเขียนบันทึกนี้เสร็จเมื่อเวลา สามนาฬิกาของเช้ามืดวันศุกร์ที่สิบห้าตุลาคมสองพันห้าร้อยห้าสิบสาม



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม