คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิต และผลแห่งกรรมแค่ไหน?
นานทีปีหน จะตื่นแต่เช้า เลยขอแอบตอดเวลางาน มาเขียนบล็อกเล็กๆสักเรื่อง บล็อกเพื่อการกุศล บอกบุญมายังทุกท่าน ผ่านยัง Blogger อารมณ์ศิลปินดีดหลังจิบกาแฟแก้วใหญ่ เคล้ากลิ่นไอเหมันตฤดู พร้อมกับนั่งดูแมวที่บ้านนอน ผ่อนคลายด้วยเสียงนกร้องรอบๆบ้าน อืม สุนทรีย์แท้ๆ
ชื่อเรื่องดูไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับการบอกบุญเลย แต่ที่ตั้งชื่อแบบนั้น เพราะมันมีที่มาที่ไป มีอะไรมากมายหลายอย่าง กว่าจะมาเป็นเรื่องๆนี้ เหตุผลที่ต้องตั้งชื่อเรื่องอย่างนี้ ก็เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกธาตุใบนี้ ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไปทั้งสิ้น มีจุดกำเนิด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามกาลเวลา และก็เพราะสิ่งที่ทำร่วมกัน ใช้ร่วมกัน อยู่ร่วมกัน ทำกรรมร่วมกัน เราทั้งหลายบนโลกมนุษย์ใบนี้ จึงต่างได้ทำกรรม (ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม) มาร่วมกันนับครั้ง นับชาติไม่ถ้วน เราจึงได้เกิดมาพบเจอกัน และก็ด้วยกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ทำร่วมกันนี่เอง ที่ส่งผลให้เราต้องเกิดมาเจอกันอีก นับครั้ง นับภพ นับชาติแบบไม่ถ้วนจริงๆ แม้ว่าคนหนึ่งอาจจะทำกุศลกรรมมาก (กรรมดี หรือบุญ) และอีกคนทำอกุศลกรรมมาก (กรรมชั่วหรือบาป) ต่างคนต่างตายจากโลก คนที่ทำกรรมดีก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ ส่วนคนที่ทำกรรมชั่ว ก็ต้องไปชดใช้กรรมในนรก แต่หลังจากหมดกรรมหรือสิ้นบุญจากภพนั้นๆแล้ว สุดท้ายยังไง ก็ยังต้องเกิดมาเจอกันอยู่ดี จนกว่าคนใดคนหนึ่ง จะถึงซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ พ้นจากวัฏสงสารคือเข้าสู่นิพพานไปนั่นเอง ยกตัวอย่างง่ายๆก็อย่างเช่น พระพุทธเจ้า กับพระบริวารทั้งหลาย ทั้งอัครสาวกหรือแม้แต่พระเทวทัต ผู้เป็นศัตรูกับพระโคตะมะพุทธเจ้ามาแต่ภพแต่ปางก่อน เดิมทั้งพระโคตะมะพุทธเจ้าและพระเทวทัตนั้นเป็นเพื่อนพ่อค้าด้วยกันมาก่อน แต่ด้วยแรงอาฆาตของพระเทวทัตในชาติที่เกิดเป็นพ่อค้าเพื่อนของพระเทวทัตนั้นเอง ที่ทำให้พระเทวทัตแค้นพระพุทธเจ้ามาก ถึงกับก่อนที่จะสิ้นชีวิตในชาตินั้น ได้กำทรายขึ้นมาอธิษฐานในมือขอจองเวรกับพระโคตะมะพุทธเจ้าจนกว่าจะหาไม่ (อ่านสาเหตุที่พระเทวทัตเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้าทุกชาติได้ที่ลิงค์นี้ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%95 ผลแห่งกรรมในชาตินั้น ส่งผลให้ชาติใดก็ตาม ที่พระโคตะมะพุทธเจ้าและพระเทวทัตเกิดมาพบเจอกัน พระเทวทัตก็จะตามจองเวรกับพระพุทธเจ้าตลอดทุกชาติ ทั้งๆที่ในส่วนลึกๆของพระเทวทัตแล้ว ท่านมีจิตใจใฝ่ไปทางกุศลมากกว่าที่จะเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่ด้วยแรงอาฆาตที่อธิษฐานแต่ชาติปางก่อนแค่นั้นเอง ถึงกับทำให้ท่านต้องทำบาปกรรมมากมาย จนถึงกับทำอนันตริยกรรมกับพระโคตะมะพุทธเจ้า คือทำให้พระพุทธเจ้าบาดเจ็บถึงกับห้อพระโลหิต ด้วยผลแห่งกรรมนี้ พระเทวทัตถูกธรณีสูบ และต้องตกอเวจีนรกไปชดใช้กรรมนับเป็นกัปเป็นกัลป์ แต่หลังจากที่พ้นจากอเวจีนรกแล้ว พระเทวทัตจะกลับมาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในชาติต่อๆไป (พระปัจเจกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่ไม่ได้เผยแผ่พระธรรมให้กับผู้อื่น เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) นั่นก็ยังดี ที่พระเทวทัตยังมีอนาคตคือนิพพานที่แน่นอน ที่พระโคตะมะพุทธเจ้าประทานพุทธพยากรณ์ไว้แล้ว แต่เราๆท่านๆนี่สิ ไม่รู้ว่าจะต้องเวียนว่ายตายเกิดจากสังสารวัฏกลมๆนี้ ไม่รู้ว่าอีกกี่ชาติถึงจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ผมเกริ่นนำซะไกล ก็เพียงแค่อยากกรุยทางให้ทุกท่านทราบเท่านั้นว่า การที่เราได้เกิดมาเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา เพื่อน ครูบา อาจารย์ แฟน ภรรยา สามี เจ้านาย ลูกน้อง และศัตรูกันนั้น ล้วนแต่เกิดจากผลกรรมในชาติก่อนๆ ที่ได้ทำร่วมกัน จึงต้องกลับมาเกิดร่วมกันเสวยสุขหรือชดใช้กรรมแบบเดียวกันร่วมกัน อย่างเช่นกรณีที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงใหญ่ๆ และมีคนเสียชีวิตร่วมกันมากๆ นั่นก็เกิดมาจากผลกรรมที่ได้ทำร่วมกันในชาติก่อนๆได้ตามมาส่งผลให้ชาตินี้ พวกเขาทั้งหลายต้องรับผลกรรมร่วมกัน ดังนั้นแล้ว เกิดมาได้มีโอกาสเจอกัน รู้จักกันทั้งที ควรที่จะทำดีต่อกันให้มากๆ เพื่อลดความอาฆาต พยาบาท ใครดีกับเรา ก็ขอให้อวยพร อุทิศกุศลของท่านให้เขาพบเจอแต่สิ่งดีๆ ส่วนใครที่ไม่ดีต่อท่าน ให้พยายามลดความอาฆาต อย่าพยาบาท แม้จะให้อภัยไม่ได้ ก็อย่าพยาบาทจองเวรเขา เพราะแรงพยาบาทจากการอธิษฐานจิตของท่านเพียงนิดเดียวเท่านั้น จะส่งผลให้ท่านต้องจองเวรกับเขาตลอดไป เห็นไหมครับว่าแรงอธิษฐานอย่างสุดๆ นั้นส่งผลต่อกรรมมากเพียงใด พระท่านจึงสั่งสอนญาติโยมว่า หลังจากทำบุญทำทานแล้ว ให้ตั้งจิตอธิษฐานถึงผลบุญที่ท่านจะได้รับ (ไม่ได้หมายถึงให้ท่านขอว่า ขอให้รวย ให้หน้าตาดี ให้มีแฟนแบบนั้นแบบนี้ แต่ให้อธิษฐานถึงผลบุญในอนาคตอันไกล คือชาติไหนสักชาติ) แล้วบุญนั้น จะส่งผลให้ท่านกลับดั่งเช่นความแรงของลูกบอลที่ท่านปาเข้าข้างฝา ผมมีตัวอย่างของแรงอธิษฐานและผลแห่งพรหมลิขิตมาให้ท่านพิจารณาประกอบเรื่อง เพื่อเป็นกุศลผลบุญแก่ผมเอง ที่ได้แนะนำธรรมะให้กับทุกท่าน ลองอ่านกันดูครับ
ย้อนหลังไปยี่สิบกว่าปีก่อน สมัยที่ชุมชนกิโลสิบ สัตหีบ หรือในสมัยนั้น คนไทยจะรู้จักที่นี่ว่าคือ "อู่ตะเภา" แม้แต่ภาพยนตร์เรื่อง 2499 ก็ยังเรียกชื่อนี้ ซึ่งเป็นชื่อของสนามบินรบในสมัยสงครามเวียดนาม ที่กองทัพอเมริกา มาปักหลักเป็นฐานปฏิบัติการ สำหรับนาวิกโยธินสหรัฐอันเกรียงไกร เพื่อส่งกำลังจากเรือรบ ไปสู่สนามบินอุดรธานี เพื่อไปรบกับเวียดนาม สมัยนั้นที่นี่คึกคัก เศรษฐกิจดี ผับบาร์ฝรั่งเต็มไปหมด เพราะมีทหารอเมริกันมาอยู่ที่อู่ตะเภาเยอะมาก ครอบครัวผมย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ พ่อเป็นไปรษณีย์ขอย้ายจากไปรษณีย์กลางที่สี่พระยามาอยู่ที่อ่าวอุดมก่อน ก่อนจะย้ายอีกครั้งมาอยู่ที่ไปรษณีย์อู่ตะเภา (ทุกวันนี้ก็ยังชื่อไปรษณีย์อู่ตะเภา) และผมเองก็มาเกิดอยู่ที่นี่ ที่กิโลสิบ จะมีเขาอยู่สองลูกหลักๆ ที่อเมริการะเบิดเขา เอาหินไปทำถนน สร้างสนามบิน และท่าเรือ ลูกหนึ่งอยู่กิโลแปด ชื่อเขาตะแบกหรือเขาไอ้แขก และอีกลูกทอดตัวต่อจากเขาตะแบกมาอีกสองกิโล อยู่บริเวณกิโลสิบ ชื่อเขาพลูตาหลวง บนเขาลูกนี้ มีทางรถขึ้นเพื่อไปบรรทุกหิน และลานกว้างๆอยู่กลางเขา มีพระธุดงค์สองรูปขึ้นไปอาศัยปักกลดอยู่บนนั้น อยู่ต่อมาจึงเริ่มสร้างกุฏิแบบพระปฏิบัติ ทำจากไม้ยูคา และล้อมด้วยมุ้งตาข่ายไนล่อนสีน้ำเงิน พรางตาด้วยจีวรเก่าเหมือนม่านธรรมดาๆ ต่อมาเมื่อมีชาวบ้านย่านนั้นและย่านตลาดกิโลสิบรู้ถึงศีลาจารวัตรของพระธุดงค์ ศรัทธาของญาติโยมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากกุฏิเล็กแค่เพียงอาศัยปฏิบัติธรรม ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นศาลาปูนอเนกประสงค์ สำหรับไว้ให้ญาติโยมมาทำบุญถวายภัตตาหาร และสำหรับพระทำวัตรเช้า-เย็น ผมยังเคยไปทำวัตรเย็นกับพ่อบ่อยๆในสมัยนั้น ปัจจุบันสำนักสงฆ์แห่งนี้พัฒนาไปไกล เจ้าสำนักท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดชากหมาก ตำบลสำนักท้อน อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง และยังเป็นอาจารย์ของเพื่อนผมคนหนึ่ง ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ศาลย่านรัชดา ในสมัยก่อนที่วัดจะเจริญถึงขีดสุดอย่างปัจจุบันนี้นั้น อาจารย์เจ้าสำนักท่านจะรับพระธุดงค์จากต่างถิ่นเข้าสำนัก เพื่อปฏิบัติธรรมร่วมกัน ก็ในตอนนั้นเอง มีพระธุดงค์หนุ่มรูปหนึ่ง พรรษาสักห้าหกเท่านั้น ได้ไปอาศัยสำนักสงฆ์เพื่อปฏิบัติกรรมฐานเช่นกัน ผมกับพ่อและครอบครัว รวมทั้งบ้านเพื่อนที่สนิทกันอย่างบ้านของเก่ง ชอบที่จะขึ้นไปทำบุญที่สำนักสงฆ์ หลังจากทำบุญเสร็จก็เดินเล่นขึ้นไปตามทางขึ้นสู่ยอดเขา ซึ่งเป็นป่า ระหว่างทางจะมีสัตว์ป่าและผลไม้ป่าอยู่ตลอด เว้นระยะห่างสักห้าสิบเมตร ก็จะมีกุฏิไม้สำหรับพระธุดงค์ปลูกขึ้นไปตามทางเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ครั้งนั้น พ่อผมพบเจอกับพระธุดงค์หนุ่มรูปนั้น บริขารเครื่องอำนวยความสะดวกของท่านก็ยังไม่มี พ่อผมจึงซื้อกาน้ำร้อนขึ้นไปถวายพระธุดงค์หนุ่มรูปนั้น ด้วยความศรัทธาในปฏิปทาที่ได้เห็นคนหนุ่มมีจิตใจฝักใฝ่ในพระศาสนาแรงกล้า
เวลาผ่านไปเป็นสิบ ยี่สิบปี ชุมชนกิโลสิบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว คนรุ่นใหม่ๆที่มาอยู่ที่นี่จะรู้จักแต่กิโลสิบ คำว่าอู่ตะเภาจะรู้จักกันแต่ว่าเป็นชื่อสนามบิน พ่อผมปลดเกษียณจากงาน คนที่รู้จักพ่อในชุมชนนี้ก็เริ่มน้อยลง ส่วนนึงเกิดจากคนต่างถิ่นหลั่งไหลกันเข้ามาอยู่กิโลสิบมากขึ้น ผู้คนที่รู้จักกันทุกบ้านแบบสมัยก่อนจึงค่อยๆลดลงๆ ในขณะที่สำนักสงฆ์ลานหินโค้ง บนเขาพลูตาหลวงนั้นก็เจริญอย่างถึงขีดสุด มีการสร้างพระประธานองค์ใหญ่ มองเห็นได้จากถนนสาย 331 บนเขาพลูตาหลวง ก่อนที่จะสร้างพระใหญ่นั้น ลานกว้างๆบนเขาไม่มีต้นไม้ขึ้น เพราะเป็นสถานที่ระเบิดหินสำหรับสร้างถนนมาก่อน พ่อมักจะชอบพาผมขุดต้นไม้จากตีนเขา เอาขึ้นไปปลูกบนนั้น ผมยังจำได้ว่า ตอนที่พ่อประสบอุบัติเหตุโดนรถยนต์ชนท้ายมอเตอร์ไซค์ของพ่อ หลังจากพ่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว แขนข้างหนึ่งยังเข้าเฝือกอยู่ แต่พ่อก็ยังพาผมขุดเอาต้นกระถินณรงค์จากตีนเขา ขึ้นไปปลูกบนเขา และดินบนเขาก็ไม่ใช่ดินร่วน แต่เป็นหินภูเขา เวลาจะปลูกต้นไม้ ต้องเอาอีเตอร์ขุดเลยชั้นหินลงไป ถึงจะเจอดิน ตอนนั้นพ่อมีแขนเดียวขุดไม่ไหว ก็ส่งอีเตอร์หนักๆมาให้เด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบอย่างผมขุดต่อ แค่ยกอีเตอร์ก็จะล้มละ อีกวีรกรรมหนึ่งที่จำได้ดี ก็คือสมัยที่อาจารย์เจ้าสำนักสงฆ์นั้น ท่านพาไปเที่ยวบ้านท่านที่บ้านแพ้วสมุทรสาคร ได้พาไปกราบองค์พระปฐมเจดีย์ด้วย รอบๆองค์พระปฐมจะปลูกต้นลั่นทม หรือลีลาวดีในสมัยนี้ไว้ พ่อแอบปีนขึ้นไปหักกิ่งลั่นทมใส่ย่ามที่เอาติดตัวไป และเอาไปปลูกที่สำนักสงฆ์นี้ ป่านนี้ต้นคงจะโตสูงท่วมหัว ออกดอกบานสะพรั่งแล้วกระมัง คนรุ่นใหม่ขึ้นไปทำบุญ มักจะทำด้วยเงินหรือข้าวปลาอาหาร แต่สำหรับพ่อและครอบครัวผม สมัยนั้นพวกเราไม่มีเงินขนาดนั้น ได้แต่ทำบุญด้วยอาหารถวายพระ และออกแรงช่วยอาจารย์สร้างศาลาเอนกประสงค์ กับปลูกต้นไม้รอบๆลานวัด ปัจจุบันภาพเขาหัวโล้นเปลี่ยนไป กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม ทุกๆครั้งที่ได้ขึ้นไปที่นั่น ผมก็ยังแอบอมยิ้มภูมิใจในตัวพ่อและผมเองอยู่ไม่ใช่น้อย ที่ได้เห็นต้นไม้เหล่านั้นเติบโตสูงใหญ่ ให้ร่มเงาแก่พุทธศาสนิกชนที่ขึ้นไปทำบุญที่นั่น ปัจจุบัน พระน้องชายของอาจารย์ท่านเป็นเจ้าสำนักดูแลแทนพระพี่ชาย ส่วนพระลูกวัดรูปอื่นๆ ก็แยกย้ายกันจาริกไปบำเพ็ญเพียรตามที่ต่างๆ หนึ่งในนั้นมีพระเจตจำนงค์ พระธุดงค์หนุ่มที่พ่อผมเคยถวายกาต้มน้ำร้อนให้ท่าน หลังจากออกจากสำนักสงฆ์ลานหินโค้งนี้แล้ว พระเจตจำนงค์ได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆทั่วภาคอิสาน และบางส่วนของเขมร เคยไปขอปฏิบัติธรรมกับวัดหนองป่าพง ของหลวงพ่อชา สุภัทโท ลูกศิษย์สายมหานิกายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แต่เนื่องจากสมัยนั้น พระอาคันตุกะของวัดหนองป่าพง มีจำนวนมาก ทางวัดจึงอนุญาตให้พระอาคันตุกะแต่ละรูปจำวัดอยู่ที่วัดหนองป่าพงได้ไม่เกินรูปละสามคืน พระเจตจำนงค์จึงออกธุดงค์ต่อไปเรื่อยๆ ตามแนวชายแดนไทย ลาว เขมร จนเมื่อวันหนึ่ง พระอาจารย์ของพระเจตจำนงค์ ซึ่งก็คืออาจารย์พระมหาอุทัย แห่งวัดเขาบุญมีดาราราม ได้นิมนต์พระเจตจำนงค์ในวัยสิบกว่าพรรษา กลับมาเป็นเจ้าอาวาส ณ วัดมาบฟักทอง ละแวกบ้านเกิดของพระเจตจำนงค์นั่นเอง ซึ่งในขณะนั้น ตำแหน่งเจ้าอาวาสเว้นว่างลง และอาจารย์พระมหาอุทัยในขณะนั้น ก็ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลห้วยใหญ่อยู่ มีหน้าที่สรรหาและคัดเลือกพระภิกษุเพื่อเป็นเจ้าสำนักอาวาสตามวัดต่างๆ ก่อนหน้านี้ วัดมาบฟักทองเคยมีเจ้าอาวาสหลายรูป แต่ละรูปล้วนมีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยจะดี จนชาวบ้านย่านนั้นหมดศรัทธาในการมาทำบุญ มีรูปหนึ่งที่โดนวางยาพิษ มรณะในวัด และอีกรูปหนึ่งก็โดนยิงมรณะคากุฏิ บางรูปก็มีข่าวคาวๆกับแม่ชีในวัด จนชาวบ้านหมดศรัทธา วัดมาบฟักทองเป็นวัดมหานิกายเล็กๆวัดหนึ่ง อยู่ใกล้ๆกับวัดญาณสังวราราม ซึ่งเป็นวัดธรรมยุต วัดประจำของพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ก่อนหน้าที่พระเจตจำนงค์จะมารับตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดมีแค่หอฉันไม้เก่าๆ ศาลาการเปรียญเล็กๆ จะเรียกว่าศาลาการเปรียญก็กระไรอยู่ เพราะจริงๆมันคือศาลาอเนกประสงค์ใช้เป็นที่ทำบุญในวันพระ และใช้สำหรับตั้งศพในกรณีที่มีงานศพด้วย และเมรุหนึ่งเตาเผา แต่เป็นเตาเผาระบบถ่านฟืน เวลาเผาสัปเหร่อต้องคอยพลิกศพไปมาให้ไหม้ทั้งหมด มีการพยายามสร้างโบสถ์มานานมาก แต่ก็ไม่มีเจ้าอาวาสรูปใดสร้างสำเร็จ ช่วงที่พระเจตจำนงค์มารับตำแหน่ง โบสถ์มีแค่คานล่าง และเสาโบสถ์ตั้งอยู่เจ็ดแปดต้น แต่ถูกปล่อยให้ร้างอย่างนั้นจนหญ้าสูงท่วม
หลังจากพ่อผมปลดเกษียณได้สักปีสองปี ช่วงระยะเวลานี้เป็นเหมือนฝันร้ายของคนที่เคยผ่านการทำงานมาตลอดชีวิต เมื่อไม่มีงานทำอีกต่อไป เกียรติ ยศ การยอมรับนับถือจากผู้คนที่เคยมี ก็หมดไป คนในวัยนี้ทุกคนจึงมีอาการคล้ายๆกัน ยิ่งลูกหลานต่างก็โตกันแล้วทำงานทำการกันหมดจนไม่มีเวลาอยู่กับพ่อแม่ ดังนั้นคนในวัยเกษียณจึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิต ถ้ามีกิจกรรมรองรับให้ท่าน ท่านก็จะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้สบายๆ แต่หากไม่มีกิจกรรมอะไร ปล่อยให้นั่งนอนอยู่บ้านเฉยๆ หลายๆคนก็อาจจะถอดใจ ถึงกับไม่สบายเอาดื้อๆไปเลย และร่างกายก็จะทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นผลจากกำลังใจที่อ่อนแอลงนั่นเอง ช่วงที่พ่อผมปลดเกษียณ (จริงๆแล้วพ่อ early retired ก่อนหกสิบ) ก็เกิดภาวะสุญญากาศขึ้นกับผม ซึ่งกำลังจะเรียนจบระดับปวช.พอดี ช่วงนั้นสถานการณ์ในบ้านไม่ดีเอาซะเลย หลายๆครั้งที่ผมต้องร้องไห้ไปโรงเรียน หลายๆครั้งที่ไม่มีแม้แต่เงินจะไปโรงเรียน แต่ก็ยังฝืนทน พยายามกลบความขมขื่นจากปัญหาภายในบ้าน เพื่อให้มีแต่รอยยิ้มเมื่อไปถึงโรงเรียน ดิ้นรนแทบตายเพื่อให้จบปวช.ให้ได้ สุดท้ายก็จบจนได้ แม้จะช้ากว่าเพื่อนๆไปครึ่งปี หลังจากจบแล้วก็พยายามขี่รถมอเตอร์ไซค์ตระเวนหางานตลอดทั่วทั้งชลบุรีและระยองตามเขตโรงงานหรือนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ผมตระเวนไปทั่วทุกนิคมจริงๆ จนทะลุปรุโปร่งกับเส้นทางแถบนั้นแทบทุกสาย แต่ผลก็คือ ไม่ได้รับการคัดเลือกเข้าทำงานในโรงงานไหนสักที่ เหมือนพรหมลิขิตขีดไว้ว่าจะไม่ได้เดินทางสายนี้ ส่วนพ่อผมเอง อยู่ดีๆก็หายออกจากบ้านไปเฉยๆ พร้อมกับรถมอเตอร์ไซค์คันเดียว โดยที่พวกเราในบ้านไปตามหาเท่าไหร่ ก็ไม่พบ โดยสถานที่ๆไปตามหานั้นก็มุ่งเน้นไปตามวัดต่างๆ เพราะนิสัยของพ่อถ้าจะไปอยู่ที่อื่นได้นานๆ ก็เห็นจะมีแต่วัด ผมเองก็ได้ช่วยพี่ๆตามหาพ่อ ไปจนถึงวัดแห่งหนึ่ง พอดีเจอเจ้าอาวาสของวัดนั้นเข้า เลยเดินเข้าไปนมัสการท่านเจ้าอาวาสซึ่งขณะนั้นกำลังคุยโม้กับนายทหารเรือท่านหนึ่งอย่างใหญ่โต ชี้มือชี้ไม้พร้อมพูดคุยโว ประมาณว่า ที่ตรงนั้นจะสร้างนั่น ที่ตรงนี้จะสร้างนี่ ผมขออนุญาตท่าน และถามท่านว่า "หลวงพ่อครับ เห็นชายแก่ ผิวขาว ผมหงอกๆ ขี่มอเตอร์ไซค์สีเขียวมาพักที่นี่บ้างไหมครับ" หลวงพ่อหันกลับมาพูดด้วยเสียงห้วนๆ ไม่นุ่มเหมือนตอนคุยกับนายทหารเรือว่า "คนแก่ที่ไหนล่ะโยม ที่นี่คนแก่ก็ผมหงอกทุกคนแหละ" ผมคิดในใจอดกลั้นไว้ว่า เออ เมิงนะ แค่ตอบกูว่า "เห็น" หรือ "ไม่เห็น" กูก็สำนึกในบุญคุณเมิงมากละ แต่คำพูดของเมิงนี่ทำให้กูหมดสิ้นศรัทธากับวัดเมิงไปเลยทีเดียวเชียว ผมเลยกราบลาในความชราของเขา ไม่ใช่ในคราบผ้าเหลืองของเขา และเดินทางไปวัดอื่นๆ เพื่อตามหาพ่อต่อไป บทจะเจอ ก็เจอเอาดื้อๆ วันหนึ่งพ่อโทรหาพี่สาวผม และบอกว่าอาศัยอยู่ที่วัดมาบฟักทอง มาเป็นคนขับรถของวัดให้ที่นี่ และอยากเจอเอส เพราะฝันไม่ดี ให้เอสมาหาพ่อที่วัดด้วย พอผมรู้ข่าว ก็ชวนเพื่อนสองคนคือเก่งกับเอก ขี่รถซ้อนสามไปด้วยกัน เพื่อจะไปหาพ่อ แต่วัดมาบฟักทอง มันอยู่ตรงไหนของโลกฟะ ไม่เคยได้ยิน สาเหตุที่ผมหาพ่อไม่เจอ ก็เพราะว่าวัดมาบฟักทองขึ้นกับตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีแล้วนั่นเอง แต่ที่ผมไปตามหาตามวัด ส่วนใหญ่จะเป็นวัดในเขตอำเภอสัตหีบ ผมเลยตามหาพ่อไม่เจอ หลังจากหลงป่าอยู่พักใหญ่ ขี่รถลุยไร่มันจนทะลุออกไปเจอวัดจนได้ ถึงได้พบกับพ่อ พ่อส่งพระหลวงพ่อเดิมให้ผม บอกให้คล้องคอไว้รักษาตัว และพ่อก็พาไปกราบอาจารย์เจ้าอาวาส ซึ่งก็คือพระเจตจำนงค์นั่นเอง ซึ่งต่อไปผมขอเรียกท่านว่าอาจารย์ดำละกัน พ่อเล่าว่าได้ขี่รถมาถึงวัด แวะเข้าไปทำบุญ อาจารย์ดำก็สอบถามว่าพ่อมาจากที่ไหน คุยกันไปคุยกันมาจึงจำกันได้ว่าพ่อคือโยมที่เคยถวายกาต้มน้ำร้อนให้อาจารย์ดำ สมัยที่อาจารย์ยังธุดงค์อยู่และเคยไปพำนักบนสำนักสงฆ์ลานหินโค้ง เมื่ออาจารย์ดำเห็นว่าพ่อยังไม่ได้ทำอะไร อยู่ว่างๆ ก็เลยชวนพ่อมาพักอยู่ที่วัดและขับรถให้อาจารย์เวลามีกิจนิมนต์ข้างนอก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของบุพกรรมที่พ่อเคยสร้างแด่อาจารย์ดำ ส่งผลให้พ่อได้กลับมาพึ่งใบบุญอาจารย์ดำในวันนี้
วันหนึ่งที่สำนักสงฆ์ลานหินโค้ง มีการทำบุญใหญ่ฉลองวิหารครอบองค์หลวงพ่อใหญ่ สำนักสงฆ์ได้ส่งเทียบเชิญไปตามวัดต่างๆรอบอำเภอสัตหีบ บ้านฉาง บางละมุง ซึ่งรวมถึงอาจารย์ดำ วัดมาบฟักทองด้วย พ่อโทรศัพท์หาผม และขอให้ผมช่วยขับรถพาอาจารย์ไปสำนักสงฆ์ลานหินโค้งแทน เพราะพ่อไม่อยากไปเจอญาติโยมที่นั่น ผมจึงต้องทำหน้าที่สารถีแทนพ่อในวันนั้น รับอาจารย์ดำพาไปฉันเพลบนสำนักสงฆ์ เมื่อไปถึง อาจารย์ดำบอกให้ผมหาที่จอดรถ และให้เอาซองเทียบเชิญ ไปเบิกค่าน้ำมันกับกรรมการของสำนักสงฆ์ ผมเดินไปเบิกเงินค่าน้ำมันในสมัยนั้น ได้เงินมาห้าร้อยบาท และกลับไปนั่งรออาจารย์อยู่ในรถ เวลาผ่านไปเกือบเที่ยง อาจารย์กลับมาที่รถ ก่อนออกรถผมยื่นซองถวายอาจารย์ อาจารย์บอกกับผมว่า "เอาไปสิ เราให้ ค่าขับรถ" ผมยังยืนยัน ยื่นซองให้อาจารย์ และบอกกับอาจารย์ว่า "ถ้าอย่างนั้น ผมขอถวายอาจารย์ละกันครับ เพราะพ่อผมก็อาศัยอยู่กับอาจารย์ที่วัด" อาจารย์ถามกลับว่า "เอาอย่างนั้นหรือ ก็ได้" แล้วผมก็พาอาจารย์กลับไปส่งที่วัด หลังจากส่งอาจารย์เสร็จแล้ว ผมกลับบ้านมา ตั้งจิตอธิษฐานว่า "ด้วยผลแห่งการทำทานนี้ ขอให้ผลบุญส่งผลให้ผมได้งานทำในเร็ววันด้วยเถิด" คำอธิษฐานของผมแรงมากจนอาจจะสะเทือนไปถึงสวรรค์ ไม่กี่วันต่อมาพ่อโทรมาหาอีก บอกว่าอาจารย์ดำอยากเจอ อาจารย์ไปสอบถามกับพ่อว่าผมทำงานอะไร พอรู้ว่าผมหางานอยู่ อาจารย์ก็เลยจะเป็นธุระหางานให้ หลังจากคุยกับอาจารย์แล้ว อาจารย์นัดให้ผมไปหาที่วัด และพาผมไปพบกับเจ้าของโรงแรม แกรนด์ จอมเทียน พาเลซ คุณอนุพงศ์ และคุณสมทรง อุดมรัตนกูลชัย ซึ่งท่านทั้งสอง ศรัทธาและเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์พระมหาอุทัย ผู้เป็นอาจารย์ของอาจารย์ดำอีกที ตอนนั้นผมกับพ่องกๆเงิ่นๆ ไม่เคยเข้าโรงแรม อาจารย์บอกให้ไปบอกพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า อาจารย์ดำมาขอพบอาซ้อ พ่อเดินขึ้นบันไดโรงแรมกับผม มีเบลล์บอยเปิดประตูโรงแรมให้ พ่อยกมือไหว้ตั้งแต่เบลล์บอยยันรีเซฟชั่น รีเซฟชั่นคนนั้น ก็บอกให้เรานั่งรอที่ล็อบบี้สักพัก และโทรตามอาซ้อลงมาพบ ผมกับพ่อก็เดินไปนิมนต์อาจารย์ที่อยู่ในรถลงมาพบในล็อบบี้โรงแรม ปกติอาจารย์ดำเป็นพระที่สันโดษมาก สถานที่แบบโรงแรมอาจารย์ก็ไม่ยอมเข้า แต่ครั้งนี้ อาจารย์ยอมที่จะเข้ามา เพื่อหวังจะพบเจ้าของโรงแรม และฝากฝังผมเข้าทำงาน หลังจากคุยกับอาซ้อหรือคุณสมทรงแล้ว อาซ้อก็รีบลุกไปโทรศัพท์ตามผู้จัดการฝ่ายบุคคล มาพาผมไปกรอกใบสมัครทันที หลังจากเสร็จธุระจากตรงนั้นแล้ว ผมไปส่งอาจารย์กลับวัด กล่าวขอบคุณแบบไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี แล้วกลับมานั่งเครียดๆ งงๆอยู่ที่บ้าน ว่าอย่างผม จะไปทำงานอะไรให้เขาได้ ภาษาอังกฤษก็พูดไม่ได้
เวลาผ่านไปร่วมเดือน นานจนผมคิดว่าโรงแรมคงลืมผมไปแล้ว จู่ๆทางโรงแรมก็โทรศัพท์มาหา และขอให้ผมไปสัมภาษณ์ ผมตอบตกลงและเดินทางไปสัมภาษณ์ที่โรงแรม พอถึงโรงแรม รายงานตัวกับฝ่ายบุคคลแล้ว ฝ่ายบุคคลก็พาผมไปพบกับ R.M. ของโรงแรม หลังสัมภาษณ์นิดๆหน่อยๆแล้ว ทาง R.M. ก็ตกลงรับผมเข้าทำงานในตำแหน่ง Inspector ของโรงแรม ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. เป็นต้นมา โดยให้หายูนิฟอร์มมาเอง คือเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงสแล็คสีดำ ผูกเน็คไทท์ แรกๆก็งงว่า Inspector คืออะไร พอเริ่มทำงานสายโรงแรมมากขึ้น จึงเข้าใจว่ามันคือ Security บวก Lift Boy ดีๆนี่เอง!
แต่จากจุดเริ่มต้นเล็กๆในวันนั้นนั่นเอง ที่ทำให้ผมเริ่มเดินสายงานโรงแรมและเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากตำแหน่งต่างๆ จนใช้เป็นเครื่องมือหากินได้จนทุกวันนี้ ต้องขอบพระคุณอาจารย์ดำแบบไม่รู้จะทดแทนท่านได้ยังไงเลย และนี่ก็เป็นผลแห่งแรงอธิษฐานจากการทำทานเล็กๆของผมในวันนั้นนั่นเอง
เรื่องของกรรมซึ่งนำพาให้เราๆท่านๆได้เดินทางมาพบกัน ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ผมขอเล่าย้อนไปถึงศีลาจารวัตรของอาจารย์ดำให้ทุกท่านได้ฟังกันเพิ่มเติม หลังจากที่อาจารย์มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้วนั้น อาจารย์ก็เริ่มงานแรกคือกู้ศรัทธาจากชาวบ้านย่านนั้นก่อน จนชาวบ้านเริ่มมีศรัทธา และความหวังเกิดขึ้น อาจารย์เริ่มพาญาติโยมถือศีลอุโบสถทุกวันพระในตลอดช่วงเข้าพรรษา ชาวบ้านย่านมาบฟักทองเริ่มกลับมาทำบุญที่วัด เริ่มมีพระมาจำพรรษาที่วัดเพิ่มขึ้น จนกุฏิของวัดมีไม่พอ อาจารย์จึงเริ่มต้นจากการขอจากโยมแม่ของอาจารย์เอง ซึ่งศรัทธาในตัวพระลูกชาย ค่อยๆสร้างกุฏิถวายวัดร่วมกับญาติโยมต่างๆ หลังจากคุยกันกับกรรมการวัด ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นมัคทายกและเพื่อนในสมัยเรียนของอาจารย์ดำเอง ที่ปวารณาตนเป็นไวยาวัจกรของอาจารย์ ก็เห็นชอบร่วมกันว่าจะสร้างอุโบสถต่อใหเสร็จ โดยเริ่มจากการทำบุญทอดกฐินทุกปีๆ ไปจนกว่าโบสถ์จะเสร็จ แต่ปัญหาก็คือการสร้างโบสถ์หลังหนึ่งใช้เงินมหาศาลมาก ที่สำคัญ เสาโบสถ์เก่าก็อายุมาก โครงสร้างภายในเป็นสนิม จะสร้างต่อก็คงไม่แข็งแรงแล้ว ครั้นจะทุบ ก็ต้องใช้เงินอีกเยอะ พ่อผมเล่าว่า หลังฉันเช้าแล้ว อาจารย์ดำจะเดินถือลิ่มกับฆ้อนไปตอกเสาโบสถ์ทุกวัน ค่อยๆทุบจนในที่สุดโครงโบสถ์ทั้งหลังก็พังลงหมด และเริ่มสร้างโบสถ์หลังใหม่ ขยับจากที่เดิมออกมาทางทิศเหนือและนับหนึ่งกันใหม่
ผมผ่านการทำงานโรงแรมจนเชี่ยวชาญ ระหว่างนั้นชีวิตเผชิญอะไรมากมาย จนวันหนึ่งโชคชะตาก็ขีดทางเดินให้ผมอีกครั้ง จากเคยมีความสุขอยู่แบบสุดๆ ชีวิตก็กลับดิ่งลงแบบบอกไม่ถูก ตกงานนั่งอยู่บ้านเป็นเดือน หลังจากไปขุดทองอยู่เมืองกรุงเป็นผู้ช่วยกุ๊กร้านโออิชิราเมน ฝึกวิชาทำอาหารญีปุ่นแต่ก็รู้ตัวว่าไม่ใช่แนวของผมเลย หลังจากกลับมาอยู่บ้านเฉยๆได้เดือนนึง วันนั้นเอง ก่อนเข้าพรรษาในปีนั้นเพียงแปดวัน อาอ๊อดน้องชายของพ่อเดินทางมาเที่ยวและเยี่ยมเยียนที่บ้าน เห็นสีหน้าและแววตาท้อแท้ของผม ไม่มีแววของคนมีความสุขเลยสักนิด คืนนั้นเองไม่รู้ว่าอะไรดลจิตดลใจผม เกิดความรู้สึกอยากจะบวชในพรรษานั้นขึ้นมาเฉยๆ โชคดีที่ปีนั้นเป็นปีที่มีเดือนแปดสองหน เข้าพรรษาปีนั้นเลยช้ากว่าทุกปี เหลือเวลาเพียงเจ็ดวันเท่านั้นก่อนเข้าพรรษา ผมดันเกิดอยากจะบวช พอแจ้งความคิดให้แม่รู้เท่านั้นแหละ แม่ผมก็บอกทันทีเลยว่า "มึงจะบวชได้ไง จะเข้าพรรษาอยู่แล้ว" ผมเลยบอกกับแม่ว่า "เห็นอาจารย์บอกว่า ถ้าจะบวชให้มาหาที่วัดได้เลย เดี๋ยวอาจารย์จัดการให้ทุกอย่าง" แม่เลยบอกให้ผมลองโทรไปถามอาจารย์ดู ว่าจะสามารถบวชในพรรษานี้ได้ทันไหม คืนนั้นก่อนนอน ผมกราบหัวนอน สวดมนต์ ตั้งจิตอธิษฐานอีกครั้ง ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และขอว่า "ถ้าผมมีบุญพอจะได้บวชเรียน ศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อยังตนให้พ้นทุกข์ เมื่อช่วยตนเองได้แล้ว ยังอาจจะได้ช่วยผู้อื่น ด้วยการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ให้กับญาติโยมที่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจในธรรม ก็ขอให้ผมได้บวชเป็นพระภิกษุในพรรษานี้ด้วยเทอญ" แล้วคืนนั้นก็นอนหลับไป แบบลุ้นๆยังไงไม่รู้
รุ่งขึ้น แม่เดินมาที่หน้าต่าง ปลุกผมให้ตื่น บอกให้ลองโทรหาอาจารย์ดำ ผมตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแล้วโทรหาอาจารย์ หลังจากแนะนำตัวว่าคือเอสแล้ว อาจารย์ก็พูดขึ้นมาทันทีว่า "เมื่อคืนเรานึกถึงเอสอยู่ เพราะเห็นเคยพูดว่าอยากบวช เราก็รอ เห็นว่าจะเข้าพรรษาแล้ว ไม่เห็นมา" ผมตอบอาจารย์กลับด้วยความตื่นเต้นในปาฏิหาริย์ว่า "ที่โทรมา ก็เรื่องนี้แหละครับอาจารย์ อาจารย์พอจะบวชให้ผมได้ไหมครับ แต่ผมไม่มีเงินเลยนะครับ" อาจารย์ตอบรับทันทีว่า "มาได้เลย ต้องมาอยู่วัดตั้งแต่วันนี้เลย เพราะอาทิตย์หน้าก็เข้าพรรษาแล้ว จะได้มาซ้อมขานนาคด้วย เรื่องเงินไม่ต้องเป็นห่วง เราจัดการให้เองทั้งหมด" หลังจากวางสายแล้ว ผมแจ้งสิ่งที่อาจารย์บอกกับผม บ่ายวันนั้น แม่และพี่สาวก็ไปส่งผมที่วัดทันที หลังจากคุยกับอาจารย์สักพัก แม่กล่าวฝากฝังผมกับอาจารย์เรียบร้อย อาจารย์บอกว่า "เดี๋ยวให้ไปอยู่กุฏิหลังนู้น" แล้วอาจารย์ก็ชี้ไปยังกุฏิหลังใหม่สุด ซึ่งเป็นกุฏิปูน ยกพื้นเตี้ยๆ หลังเล็กๆ ไม่มีห้องน้ำใกล้ๆ ห้องน้ำต้องเดินเลยไปอีกสามสี่กุฏิ และปลูกอยู่หลังสุดท้ายติดป่าช้า หน้ากุฏิเป็นด้านหลังของเมรุเผาศพ ใจจริงผมแอบคิดว่าอยากอยู่ที่กุฏิหลังนั้น เพราะดูแล้วน่าจะเงียบและสันโดษที่สุดในบรรดากุฏิทุกหลัง แต่พอจะต้องได้ไปอยู่จริงๆ ก็หวั่นๆใจอยู่เหมือนกัน แต่นาทีนั้น อะไรก็ฉุดแรงศรัทธาปสาทะในการอยากบวชของผมไม่ได้
แม่และพี่สาวลาอาจารย์ดำกลับไป ผมเริ่มสมาทานศีลห้าตั้งแต่วันนั้น เพราะตอนเย็นที่วัดก็ไม่มีอะไรให้กินอยู่แล้ว อาจารย์จัดแจงหาหนังสือมนต์พิธีมาให้ แล้วบอกว่าท่องตรงไหนบ้าง นับจากวันนี้ไป ผมต้องปฏิบัติตัวทุกอย่างเหมือนพระ ยกเว้นก็แต่ศีลผมยังไม่เท่าพระ และเริ่มทำวัตรเช้า-เย็น ออกเดินตามพระบิณฑบาตร และช่วยงานพระทุกอย่าง สาเหตุที่ต้องให้ผู้ที่จะบวชไปอยู่วัดก่อนเจ็ดวัน และไม่ให้ออกจากเขตวัด ก็เพราะว่ามีหลายๆครั้ง ที่คนที่จะบวชเตรียมการเป็นอย่างดี แต่ด้วยกรรมหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มาตัดบุญอันนี้ของเขา ทำให้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตไปก่อนจะได้บวชก็มี ดังนั้น คนที่จะบวช เสมือนกับเป็นการสร้างบุญกุศลอันมหาศาล เพราะผู้ที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้บวชนั้น พระท่านว่ายากยิ่งกว่าสิ่งไหน นอกซะจากต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องเป็นบุรุษเพศ เกิดมาในยุคที่มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นบนโลก เกิดในประเทศที่พระพุทธศาสนาแผ่ไปถึง มีจิตใจฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนา และที่สำคัญ ต้องมีร่างกายสมบูรณ์ครบสามสิบสองประการ คนพิการในพระพุทธศาสนานั้น ไม่สามารถบวชเป็นภิกษุได้ รวมทั้งพวกบัณเฑาะว์หรือกระเทยก็ไม่สามารถบวชได้ ถึงแม้จะบวชไปแล้ว (โดยอุปัชฌาย์ไม่รู้ หากอุปัชฌาย์รู้ ถือเป็นอาบัติของอุปัชฌาย์) ก็ไม่ได้รับผลบุญจากการบวชนั้น ยกตัวอย่างเช่น นาคตนหนึ่ง ซึ่งมีจิตใจฝักใฝ่ที่จะบวช เลยแปลงกายเป็นมนุษย์มาขอบวช แต่หลังจากบวชไปแล้ว ปรากฎว่าพระรูปอื่นไปทราบเข้าว่าไม่ใช่มนุษย์ เพราะอุปนิสัยของนาคจะกลับคืนร่างเดิมตอนนอนและสมสู่กัน นาคตนนั้นก็ยังต้องสึกขาดจากความเป็นพระไป ดังนั้นแล้ว การที่คนๆหนึ่งเกิดมาแล้วจะมีโอกาสได้บวชจึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ในพรรษานั้นเอง ผมมีนาคคู่กับผมอีกคน เข้ามาอยู่วัดหลังจากผมหนึ่งวัน อาจารย์เลยจัดแจงให้เราทั้งสองซ้อมขานนาคคู่กัน เพื่อเตรียมตัวบวชแบบนาคคู่ในวันเดียวกันเลย ทุกเย็น อาจารย์จะเรียกให้ผมกับนาคกล้วย ไปซ้อมขานนาคด้วยกันที่กุฏิของอาจารย์ เวลาอื่นๆก็ต่างคนต่างแยกย้ายไปท่องส่วนของใครของมัน ผมใช้เวลาสามวันก็ท่องได้ทั้งหมด เพราะช่วงนั้นจิตใจแน่วแน่และตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะบวชให้ได้ ตรงข้ามกับนาคกล้วย ที่วันหลังๆมีผู้หญิงตามมาอยู่วัดด้วย และนาคกล้วยเองก็แลดูจะไม่มีใจจะท่องคำขานนาคสักเท่าไหร่นัก
อาจารย์ดำเอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ด้วย (เวลาจะบวชพระ จะต้องมีอุปัชฌายะรูปหนึ่ง ซึ่งต้องเป็นภิกษุที่บวชมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบพรรษา และผ่านการสอบเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ และคู่สวดสองรูปคือพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ นอกนั้นคือพระภิกษุธรรมดานั่งลำดับประมาณสิบรูปเป็นต้นไปพูดง่ายๆก็คือในพิธีบวช พระคู่สวดสองรูป เปรียบเสมือนผู้ดำเนินการแทนอุปัชฌาย์ ในการซักถามความเห็นของสงฆ์ และซักถามนาคว่าได้ทำตามขั้นตอน กฏระเบียบต่างๆก่อนบวชครบถ้วนไหม เพื่อเสนอความเห็นต่อสงฆ์และแจ้งต่ออาจารย์เพื่อให้อุปัชฌาย์อาจารย์ทำการบวชให้) ช่วงใกล้เข้าพรรษาของทุกๆปี อาจารย์จะไม่ค่อยอยู่วัด เพราะต้องไปร่วมกับวัดเขาบุญมีดาราราม หรือวัดทุ่งคา เพื่อเป็นพระคู่สวดให้กับนาคที่จะบวชใหม่ในแต่ละปี สมัยนั้นพระอุปัชฌาย์ญาติโยมจะบูชาจำนวนหนึ่งพันบาท ส่วนคู่สวดก็รูปละห้าร้อย อาจารย์จะมีเงินจากการทำหน้าที่พระคู่สวด เก็บเงินใส่ซองจากนาคต่างๆ แล้วยื่นให้พี่จำนรร ไวยาวัจกรของวัด ผมได้มีโอกาสเห็นเพราะอาจารย์ให้ผมตามไปดูพิธีการด้วย ว่าวันบวชจริงๆเขาทำอะไรบ้าง ตอนหลังเพิ่งมารู้ว่า อาจารย์เก็บเงินที่ได้จากการทำหน้าที่พระคู่สวด เพื่อให้พี่จำนรรไปซื้ออัฐบริขารให้ผม ทีแรกผมตั้งใจว่า เมื่อไม่มีเงิน ขอแค่มีบริขารเก่าๆของพระที่สึกแล้วก็ได้ ให้พอได้บวช แต่ปรากฎว่าอาจารย์จัดไตรจีวรสองชุดใหม่เอี่ยม บาตรสแตนเลสมันวับ ไซส์ใหญ่หนึ่งลูกพร้อมถลกบาตร สายโยค และขาตั้งบาตรหวาย ตาลปัตร เสื่อ หมอน ย่าม รองเท้าใหม่หมดครบชุดของพระบวชใหม่ เป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้จะทดแทนบุญคุณของอาจารย์ยังไง ได้แต่ภาวนาว่าการบวชพรรษานี้ จะยังประโยชน์ให้เกิดแก่พระพุทธศาสนา แก่ข้าวทุกเมล็ด น้ำทุกขันของญาติโยม และเหงื่อทุกหยดของอาจารย์ แต่แล้วคืนนั้นเอง ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะเป็นพิธีบวชนาคคู่ของผมกับนาคกล้วย เย็นวันนั้นผมไปนั่งเล่นอยู่กุฏิพระรุ่นพี่ ระหว่างกำลังสนทนากันอยู่ นาคกล้วยก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับแฟนสาว และถามไถ่หลวงพี่รูปต่างๆว่า "หลวงพี่จะเอาอะไรไหมครับ ผมจะออกไปซื้อของข้างนอกสักหน่อย" หลวงพี่รูปหนึ่ง ฝากซื้อถ่านไฟฉาย และให้เงินนาคกล้วยไปห้าสิบบาท ก่อนนาคกล้วยจะเดินลับออกจากวัดไปพร้อมกับแฟนสาวของนาค เวลาผ่านไปจากหกโมงกลายเป็นทุ่ม เป็นสองทุ่ม เป็นสามทุ่ม พระทุกรูปรวมทั้งผม ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นาคกล้วยคงจะหนีไปจากวัดแล้ว และรอเรียนให้อาจารย์ทราบอีกทีตอนรุ่งเช้าละกัน
รุ่งเช้าต่อมา เมื่อถึงเวลาบิณฑบาตร พออาจารย์ทราบข่าว ท่านก็ได้แต่พูดว่า "ปล่อยเขา เราพยายามช่วยเขาแล้ว แต่เหมือนกรรมของเขาจะหนัก" ผมรู้สึกเห็นใจอาจารย์อย่างมาก เพราะนาคกล้วยก็เป็นเคสคล้ายๆผม คือมีแต่ตัวมาบวชเหมือนกัน และอาจารย์เองก็ให้พี่จำนรรซื้ออัฐบริขารไว้แล้ว ภายหลังมาทราบจากพระรูปอื่นๆว่า สาเหตุที่นาคกล้วยไม่อยากบวช ก็เพราะว่า ตนเองยังไม่พร้อมที่จะบวช แต่โดนแม่บังคับให้มาบวช ที่แม่ของเขาบังคับก็เพราะว่า แม่ของนาคกล้วยนั้นเป็นอุบาสิกาที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดญาณสังวรารามเป็นประจำ แต่จากความพลาดพลั้งของนาคกล้วยและแฟนสาว ทำให้แฟนของนาคกล้วย ตั้งท้องก่อนวัยอันควร จนถึงกับต้องทำปาณาติปาตไม่สามารถปล่อยให้เด็กลืมตาดูโลกได้ และแม่ของนาคกล้วยเองก็แจ้งกับลูกชายว่า เด็กในท้องโกรธและอาฆาต นาคกล้วยจะต้องบวชในพรรษานี้ เพื่ออุทิศกุศลให้เขาเท่านั้น แต่แล้วนาคกล้วยก็ไม่ได้บวช หลังจากวันนั้นเอง ผมก็ไม่ได้ข่าวคราวเขาอีกเลย หลังจากฉันเพลวันนั้นเอง กำหนดการต่างๆเลยเปลี่ยนไปหมด ผมเลยต้องเข้าพิธีคนเดียว แบบเสียวๆยังไงไม่รู้ เพราะตอนซ้อมก็ซ้อมนาคคู่ แต่พอบวชจริง ต้องขานนาคคนเดียวหมดเลย ที่น่าประทับใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ งานบวชนี้ผมไม่ได้บอกใครเลย นอกจากเพื่อนสนิทๆกันอย่างรุจกับอ๊อฟและครอบครัวของเก่ง แต่กลายเป็นว่าสองคนนี้ช่วยไปกระจายข่าวให้เพื่อนๆสมัยเรียนรู้ และก็มีเพื่อนๆหลายคนมาร่วมงานบวช ผมทราบซึ้งในน้ำใจเพื่อนๆอย่างมาก นอกจากนั้นเอง พี่จำนรรและชาวบ้าน ยังเป็นธุระจัดหาดอกไม้และซองถวายพระ เงินใส่ถาดโปรยทาน รวมทั้งชาวบ้านมาบฟักทองที่มาช่วยกันแห่นาค ส่งผมเข้าโบสถ์ด้วย ปีนั้นผมบวชเป็นรูปสุดท้าย ท้ายสุดพรรษาของวัดมาบฟักทอง โบสถ์วัดมาบฟักทองยังมีแค่หลังคาโบสถ์กับผนัง ยังไม่มีหน้าต่าง แต่มีพระประธานแล้ว พระวัดมาบฟักทองจึงต้องไปบวชและลงอุโบสถที่โบสถ์วัดเขาบุญมีดารารามแทน ผมบวชหนึ่งวันก่อนวันอาสาฬหบูชา รุ่งขึ้นหลังทำวัตรเย็นก็ปวารณาเข้าพรรษาเลย เสียดายที่ไม่ได้เป็นพระชุดแรก ที่ได้บวชในอุโบสถวัดมาบฟักทอง
จริงๆนอกกับในพรรษา มีอะไรที่แตกต่างกันเยอะอยู่เหมือนกัน และเป็นเรื่องลำบากอยู่ไม่น้อยสำหรับพระใหม่ประสบการณ์วันเดียวอย่างผม ที่วันต่อมาต้องปฏิบัติตนแบบระมัดระวังไม่ให้ผิดวัตรปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษา เช่นการไม่ทิ้งสังฆาฏิไว้ไกลตัว (สังฆาฏิคือผ้าห่มซ้อม ที่พระใช้พาดไหล่ สำหรับสมัยพุทธกาลที่เนปาลอากาศหนาวเย็น สังฆาฏิจะทำหน้าที่เป็นผ้าห่มซ้อนกันหนาวด้วย หรือบางครั้ง พระก็ยังสามารถใช้ปูเป็นผ้าปูนอนได้เช่นกัน ปัจจุบันพระแต่ละรูปมีไตรจีวรหลายผืนเพราะผ้าหาได้ง่าย สังฆาฏิของพระในปัจจุบัน จึงทำหน้าที่อย่างเดียวคือเป็นผ้าพาดไหล่จริงๆ แม้จะเปลี่ยนจีวรไปกี่ผืน แต่สังฆาฏิก็ยังคงเป็นผืนเดิม) ไม่ออกจากเขตวัดก่อนฟ้าสาง เพื่อรักษาอรุณให้อยู่ครบไม่ขาดพรรษา จึงจะสามารถรับกฐินได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ที่ผู้ชายที่นับถือพุทธศาสนา ควรจะหาโอกาสบวชเรียนภายในพรรษาเพื่อศึกษาพระธรรมให้ได้สักครั้งหนึ่ง
จริงๆนอกกับในพรรษา มีอะไรที่แตกต่างกันเยอะอยู่เหมือนกัน และเป็นเรื่องลำบากอยู่ไม่น้อยสำหรับพระใหม่ประสบการณ์วันเดียวอย่างผม ที่วันต่อมาต้องปฏิบัติตนแบบระมัดระวังไม่ให้ผิดวัตรปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษา เช่นการไม่ทิ้งสังฆาฏิไว้ไกลตัว (สังฆาฏิคือผ้าห่มซ้อม ที่พระใช้พาดไหล่ สำหรับสมัยพุทธกาลที่เนปาลอากาศหนาวเย็น สังฆาฏิจะทำหน้าที่เป็นผ้าห่มซ้อนกันหนาวด้วย หรือบางครั้ง พระก็ยังสามารถใช้ปูเป็นผ้าปูนอนได้เช่นกัน ปัจจุบันพระแต่ละรูปมีไตรจีวรหลายผืนเพราะผ้าหาได้ง่าย สังฆาฏิของพระในปัจจุบัน จึงทำหน้าที่อย่างเดียวคือเป็นผ้าพาดไหล่จริงๆ แม้จะเปลี่ยนจีวรไปกี่ผืน แต่สังฆาฏิก็ยังคงเป็นผืนเดิม) ไม่ออกจากเขตวัดก่อนฟ้าสาง เพื่อรักษาอรุณให้อยู่ครบไม่ขาดพรรษา จึงจะสามารถรับกฐินได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ที่ผู้ชายที่นับถือพุทธศาสนา ควรจะหาโอกาสบวชเรียนภายในพรรษาเพื่อศึกษาพระธรรมให้ได้สักครั้งหนึ่ง
ตลอดพรรษากว่าๆ อาจารย์ได้มอบความรู้ ความเมตตา แก่ผมและพระลูกวัดทุกรูป แม้เราจะออกนอกลู่นอกทาง อาจารย์ก็จะคอยว่ากล่าวตักเตือนตลอดหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ มีหลายๆเรื่องที่ผมสงสัย และแอบคิดในใจว่าทำไมต้องอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ แต่แล้วอาจารย์ก็จะพูดตอบคำถามผมขึ้นมาเองซะอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้มีใครถาม บ่อยครั้งมากจนผมเริ่มสงสัยในตัวอาจารย์ดำ ว่าสิ่งที่ท่านปฏิบัติมา และออกธุดงค์ตามป่าเขามานาน อาจารย์ต้องได้รับผลแห่งกรรมฐานอะไรบ้างสักอย่างแน่นอน แต่ก็เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจตลอด
ช่วงใกล้ออกพรรษา อาจารย์เตรียมการสำหรับงานกฐินประจำปี ปกติวัดมาบฟักทองจะจัดกฐินอาทิตย์แรกหลังออกพรรษาตลอด ด้วยเหตุผลว่าอาจารย์อยากให้พระใหม่ได้อยู่รับกฐินทุกรูป เพราะปกติหลังออกพรรษาปุ๊บ พระใหม่ที่บวชในพรรษานั้นก็จะสึกปั๊บทันที ค่ำวันหนึ่งอาจารย์จึงขอแรงให้ผมช่วยพิมพ์รายชื่อเจ้าภาพกฐินให้ เพื่อจะนำไปส่งโรงพิมพ์ จัดพิมพ์ออกมาเป็นซองแจกญาติโยม สมัยนั้นวัดมาบฟักทองยังไม่มีคอมพิวเตอร์ มีแต่พิมพ์ดีดธรรมดาๆ ผมเริ่มนั่งพิมพ์รายชื่อเจ้าภาพบนกุฏิอาจารย์ ซึ่งเป็นกุฏิชั้นเดียวยกพื้นสูง จนเริ่มเย็น ค่ำ และดึก เห็นว่าใกล้จะเสร็จ เลยอดทนพิมพ์ต่อจนเสร็จทั้งหมด ส่วนอาจารย์เองก็หลับเฝ้าผมไปแล้ว อาจารย์ตื่นมาอีกครั้งตอนผมเก็บของและกำลังจะกลับกุฏิ หลังจากกลับมาถึงกุฏิด้วยอาการง่วงสุดๆ แต่ด้วยความเหนียวตัว ครั้นจะนอนเลยก็ไม่ไหว ยังไงคืนนี้ก็ต้องสรงน้ำสักหน่อย ผมกลับถึงกุฏิราวๆห้าทุ่มนิดๆ อย่างที่ผมบอกว่า กุฏิผมไม่มีห้องน้ำใกล้ๆ ถ้าปวดหนักต้องเดินไปอีกสองสามกุฏิ ส่วนกุฏิผมจะมีแค่ตุ่มน้ำเล็กๆตั้งอยู่ข้างบันไดทางขึ้นกุฏิ ข้างตุ่มจะมีฝาของปลอกบ่อปูนปูไว้ สำหรับกันน้ำกระเด็น ผมอาศัยปลอกบ่อนี้เป็นที่สรงน้ำประจำ เวลาสรงก็คือหันหน้าเข้ากุฏิ หันหลังให้เมรุ เพียงแต่คืนนี้ มันเย็นสันหลังก็อีตรงที่ผมไม่เคยสรงน้ำดึกขนาดนี้มาก่อน ตักน้ำขันหนึ่งราดศีรษะทีไร ให้เย็นสันหลังวาบไปทุกครา ผมฝืนใจราดได้สิบกว่าขัน ปกติฟอกสบู่นาน แต่คืนนั้น ไม่ไหวจริงๆ แม้จะบวชมาสามเดือนแล้วก็ตาม แต่เมื่อหันขวาไปทางป่าช้าที่มืดสนิท หันหลังไปทางเมรุที่เห็นเตาเผาดำเมี่ยมแล้ว ให้อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้จริงๆ ยิ่งหน้าประตูทางเข้ากุฏิของผม จะมีรูปคุณยายเจ้าของกุฏิ ที่ลูกหลานสร้างถวายวัดอุทิศกุศลให้คุณยายติดอยู่หน้ากุฏิด้วย ยิ่งไปกว่านั้น กระดูกของคุณยายเอง ก็เก็บไว้เหนือหัวนอนผม ซึ่งสร้างเป็นช่องเปิดขึ้นไปเหนือฝ้าเพดาน และบรรจุใส่โกศวางเอาไว้ ทำให้คืนนั้นผมอาบน้ำเร็วที่สุดตั้งแต่บวชมาเลยทีเดียวเชียว
หลังจากผ่านพ้นงานกฐินประจำปีของวัด พระทุกรูปช่วยกันเก็บกวาดสถานที่ เย็นวันนั้นหลังจากเราเสร็จภาระกิจต่างๆแล้ว ผมสนทนากับอาจารย์ต่อ สอบถามเรื่องวิปัสสนาที่ไม่สามารถปฏิบัติเดินหน้าต่อไปได้ ทำได้แค่จิตสงบนิ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ไม่ก้าวหน้าไปไหนต่อ เลยลองสอบถามอาจารย์ว่า อาจารย์ปฏิบัติกรรมฐานมานานขนาดนี้ อาจารย์ได้รู้ได้เห็นอะไรจากสมาธิหรือเปล่า อาจารย์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่เสแสร้งว่า "เราเป็นคนมีกรรม ปฏิบัติมานาน แต่ก็ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอะไรกับใครเขาเลย" เป็นอันจบบทสนทนา แต่กระนั้น ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าอาจารย์รู้ในสิ่งที่ผมคิดได้ยังไง หรืออะไรไปดลใจจังหวะที่ผมสงสัยพอดีให้อาจารย์ตอบข้อสงสัยผม
หลังจากเสร็จสิ้นงานกฐิน วัดก็เริ่มเงียบลง พระใหม่สึกหนีไปหมดแล้ว พระเก่าแต่มาจากที่อื่นก็เริ่มย้ายสำนัก หรือออกธุดงค์ไปต่างถิ่น แม้แต่วัดแม่อย่างวัดเขาบุญมีเอง ก็มีพระไม่พอจะออกกิจนิมนต์ได้ ต้องอาศัยพระสองวัดรวมกันถึงจะออกกิจนิมนต์สำหรับงานที่นิมนต์พระเก้ารูป วัตรเช้า-เย็นก็ไม่มีการทำเหมือนช่วงเข้าพรรษา หลังเพลก็ไม่มีการเรียนการสอนนักธรรมเหมือนช่วงในพรรษา ชีวิตประจำวันของผมก็เลยมีแค่บิณฑบาตร กวาดลานวัด ปฏิบัติกรรมฐานบ้างเป็นครั้งครา ช่วงนั้นพ่อผมย้ายไปอยู่ที่ขอนแก่นแล้วตั้งแต่ก่อนผมจะบวช และงานบวชพ่อก็ไม่ได้มาร่วม ผมเลยถือโอกาสขอลาอาจารย์ ออกเดินทางไปหาโยมพ่อบ้างที่ขอนแก่น อยากให้โยมพ่อได้เห็นพระลูกชายในขณะที่ยังครองผ้ากาสาวพัสตร์ เลยได้โอกาสให้โยมอาทั้งหลายได้ร่วมกันใส่บาตรผมไปในตัวด้วย ผมอยู่กับโยมพ่อที่อำเภอพระยืนสองคืน ก่อนจะย้ายไปบ้านน้า ญาติฝ่ายโยมแม่ที่อำเภอหนองสองห้องต่อ โดยมีอาอ๊อดคนเดิม อาสาขับรถไปส่งผมจากพระยืนถึงวัดอัมรินทราวาส ที่ซึ่งหลวงลุงผมบวชอยู่ที่นั่น ก็พอดีที่วัดกำลังจะรับกฐินในอีกไม่กี่วันด้วย ผมเลยได้มาร่วมรับกฐินอีกรอบที่วัดของหมู่บ้านตากับยายไปในตัว ภาพที่ได้เดินตามหลวงลุงในขณะที่ผมก็เป็นพระ เปิดฝาบาตรให้โยมน้าใส่บาตร มันทำให้ยิ้มได้อย่างมีความสุขทุกครั้งที่นึกถึง หลังจากได้โปรดญาติทั้งสองบ้านแล้ว ผมก็เดินทางกลับเข้าวัดมาบฟักทอง ไปกราบเรียนให้อาจารย์ดำทราบว่าเดินทางกลับถึงวัดเรียบร้อย บรรยากาศในวัดตอนนี้ยิ่งเงียบเหงาหนักเข้าไปอีก พระเก่าเหลือแค่อาจารย์น้อย รองเจ้าอาวาส อาจารย์สนิท พระอาจารย์ที่สอนวิชาพระนวกะ และผม ถ้านับรวมอาจารย์ดำด้วย ทั้งวัดเหลือแค่สี่รูปเท่านั้นเอง แต่ว่าช่วงหลังออกพรรษามีพระหลานชายของอาจารย์มาขอจำวัดด้วย ทำให้ช่วงนั้นเรามีพระทั้งสิ้นห้ารูป แต่จะแปลกก็ตรงที่พระหลานชายของอาจารย์ดำรูปนี้ มีศรัทธาแรงกล้ามากๆ ขนาดเย็บจีวรย้อมสีด้วยแก่นขนุนนุ่งห่มเอง เวลาฉันข้าวก็เอากับข้าวเทรวมใส่ลงในบาตรและฉันจากบาตร ไม่ยอมฉันจากจาน แถมยังฉันแค่มื้อเช้ามื้อเดียวไม่ฉันเพล ซึ่งวัตรปฏิบัติเหล่านี้เป็นของพระธรรมยุตทั้งสิ้น ทั้งๆที่พระหลานชายอาจารย์รูปนี้ ท่านยังไม่ได้ญัตติใหม่เป็นธรรมยุตแต่อย่างใด ชาวบ้านมาบฟักทองเองก็งงกับพระรูปนี้ จริงๆแล้วความเป็นพระ ปฏิปทา วัตรปฏิบัติต่างๆ ผมคิดว่าไม่เกี่ยวกับนิกาย ไม่ว่าจะธรรมยุติกนิกาย หรือมหานิกาย เราต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือทำตนให้พ้นจากสังสารวัฏ แม้แต่หลวงพ่อชา สุภัทโทเอง ซึ่งพระอาจารย์มั่นได้ขอร้องไม่ให้หลวงพ่อชาญัตติเป็นธรรมยุต เพราะหากพระอาจารย์สายกรรมฐานญัตติเป็นธรรมยุตหมด พระกรรมฐานสายมหานิกายก็จะหาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถไม่ได้ หลวงปู่มั่นจึงขอหลวงพ่อชาให้คงเป็นพระมหานิกายไว้ เพื่อเผยแผ่ธรรมแก่ญาติโยมแถวนั้น ปัจจุบันพระมหานิกายที่เป็นอาจารย์ด้านกรรมฐานที่ยังคงมีชีวิตอยู่ก็อย่างเช่น หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม แห่งวัดอัมพวัน สิงห์บุรีนั่นเอง สำหรับคนที่ศึกษากรรมฐานมาระดับหนึ่งแล้ว จะรู้ทันทีเลยว่า หลวงพ่อจรัญเป็นพระอริยะบุคคลท่านหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพระธรรมยุตหรือมหานิกาย สุดท้ายเราต่างทำเพื่อที่สุดแห่งทุกข์ให้ดับไป การรังเกียจเดียจฉันท์กันว่าฉันปฏิบัติเคร่ง เธอปฏิบัติหย่อนนั่นต่างหาก ที่กลายเป็นกิเลสให้เรายึดติดกับคำว่า "เคร่ง" แต่กระนั้นเอง ผมก็ยังคิดว่าการมาสู่วัดของพระหลานชายของอาจารย์ดำเป็นสิ่งดีซะมากกว่าเสีย เพราะว่าในระหว่างพรรษานั้น มีพระจำพรรษาเยอะ เวลามีงานศพก็ยังมีพระช่วยสวดศพ แต่พอพ้นพรรษา จะหาพระสวดศพก็ยาก วัดมาบฟักทองเหลือพระอยู่สี่รูป แต่ตัดอาจารย์ดำออกไปหนึ่งรูปได้เลย เพราะอาจารย์ไม่ชอบสวดศพ กิจนิมนต์ถ้าอาจารย์ดำไปด้วย อาจารย์ก็จะไม่เจิม แต่จะให้องค์รองเจิม เวลาที่ผมจะปลงผม บวช หรือสึก อาจารย์ก็ไม่ถือฤกษ์ใดๆทั้งสิ้น จนทำให้ผมติดนิสัยจากอาจารย์มาด้วย ผมถืออย่างเดียวว่าถ้าวันไหนจิตใจของเราคิดดี วันนั้นถือว่าฤกษ์ดีทั้งวัน แม้แต่ตัดผมเองก็ตาม ผมก็มักจะชอบไปตัดวันพุธ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่นิยมตัดวันพุธ แต่ผมกลับเห็นว่าคิวตัดผมไม่เยอะดี ไม่ต้องรอนาน หลังพรรษาคืนหนึ่ง มีศพเข้ามาตั้งที่วัด อาจารย์เดินไปบอกผมว่า "เสร็จจากสวดศพแล้ว ท่านเอสมาหาผมหน่อยนะที่กุฏิ" หลังจากลงจากศาลา ผมก็เดินไปที่กุฏิอาจารย์ตามที่อาจารย์นัด อาจารย์สอบถามผมถึงอนาคต ว่าผมจะทำอย่างไรต่อไป อาจารย์เป็นห่วง ไม่อยากให้สึก และอยากให้ผมอยู่ช่วยอาจารย์ โดยอาจารย์จะส่งให้เรียนต่อที่โรงเรียนพระปริยัติ เพื่อให้เป็นมหาและได้วุฒิทางโลกไปในตัว ผมได้แต่นั่งเครียด ใจหนึ่งก็ไม่อยากสละผ้าเหลืองที่ครองกาย เพราะรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ครองผ้าผืนนี้ แต่อีกใจก็คิดวนเวียนถึงคำเชิญของเจ้านายเก่า โยมหนิง Front Office Manager ที่ได้ยินข่าวการบวชของผมและเห็นว่าออกพรรษาแล้ว จึงคิดว่าพระใกล้จะสึก และจะชวนไปทำงานด้วยกันต่อ ผมอยากที่จะบวชต่อไม่สึก แต่ก็รู้ตัวเองว่า เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะอยู่ในผ้าเหลืองได้ โดยไม่มีสตรีมารบกวน คนที่บวชพระไม่รู้เป็นอะไร มักจะมีมารตัวเขื่องคืออิตสตรีมาก่อกวนเพศบรรพชิตและผู้หญิงเหล่านั้นก็ชอบคนที่บวชเป็นพระมาก เพราะส่วนใหญ่พระจะมีศีลาจารวัตรที่เรียบร้อย อีกทั้งก็ยังดูจะเป็นคนดีกว่าชาวบ้านๆทั่วๆไป เพราะอย่างน้อยก็มีศีล ผมเองอาศัยทำตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าที่ตรัสต่อพระอานนท์อย่างเดียวว่า "ถ้าไม่เห็นได้ถือเป็นดี แต่ถ้าจำเป็นต้องเห็นก็อย่าพยายามพูดคุยด้วย ถ้าจำเป็นต้องพูดคุยด้วยให้ตั้งสติให้ดี และสำรวมตลอด อย่าวอกแวก อย่าเอาใจไปผูกกับสตรี" ข้อนี้ผมเชื่อ เพราะว่าในบรรดากิเลสมารทั้งหลายนั้น สตรีคือศัตรูตัวที่ฉกาจที่สุดในเพศบรรพชิต ผมจึงเรียนอาจารย์ไปตามตรงว่า "ผมไม่แน่ใจว่า วันหนึ่งจะทนกับสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ กลัวจะเปลืองข้าวเปลืองน้ำญาติโยม ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อครับ" คืนนั้นอาจารย์กล่อมผมจากสามทุ่มถึงตีสอง แต่อำนาจมารก็เยอะเหลือเกิน ผมไม่สามารถรับคำอาจารย์ที่จะอยู่ครองเพศบรรพชิตต่อไปได้ และในที่สุดสองสามวันต่อมา ผมก็ลาสิกขา สึกออกมาเป็นทิด วันแรกที่สึก อาจารย์ยังคงให้เดินตามอาจารย์ไปบิณฑบาตร เพื่อขอบคุณข้าวน้ำทุกขันที่ญาติโยมได้ใส่บาตรทำบุญให้พระฉัน ตลอดเวลากว่าสี่เดือน วันที่ต้องเอาไตรจีวร บาตร ย่ามไปเก็บในห้องเก็บของ รู้สึกใจหายยังไงไม่รู้ แต่เมื่อเลือกแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาว่าถ้าพร้อมอีกเมื่อไหร่ ขอให้ได้กลับไปจุดนั้น ฝึกจิต ยังกุศลให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป นับเป็นบุญบารมีของผมแท้ๆ ที่ได้ประสบพบเจอกับอาจารย์ที่แสนจะดีกับผมและครอบครัวมากๆอย่างอาจารย์ดำ ผมไม่รู้จะตอบแทนท่านยังไง ได้แต่ช่วยงานกฐินของวัดทุกปี รับซองจากอาจารย์มาปีละสามสิบถึงห้าสิบซองบ้าง เพื่อช่วยบอกบุญกับเพื่อนๆ และตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดมาชาติไหนๆ ก็จะขอเป็นบริวารเพื่อทดแทนบุญคุณอาจารย์ดำตลอดไป หลังจากสึกออกจากวัดแล้ว เวลาที่จะได้เข้าวัดไปกราบพระอาจารย์ก็น้อยลง ปีหนึ่งๆได้ไปกราบท่านไม่เกินสามสี่ครั้ง จนเมื่อถึงกฐินปีล่าสุดคือปี ๒๕๕๔ อุโบสถวัดมาบฟักทองก็แล้วเสร็จตกแต่งเรียบร้อย พร้อมกับการได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นอุโบสถตามพระวินัยและตามกฎหมาย โดยทางวัดได้จัดให้มีพิธีผูกสีมาในช่วงวันที่ ๒๑ ถึง ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่จะถึงนี้ ในฐานะที่ผมเป็นศิษย์เก่าจากสถาบันวัดมาบฟักทอง จึงอยากที่จะช่วยยังธุระของบุรพจารย์ของผม ซึ่งปัจจุบัน หลังจากที่พระอาจารย์มหาอุทัยมรณะภาพจากการทำงานก่อสร้างอย่างหนัก เพื่อช่วยวัดในปกครองสร้างอุโบสถแล้ว พระอาจารย์เจตจำนงค์หรืออาจารย์ดำ ก็ได้เลื่อนสมณะศักดิ์เป็น เจ้าอธิการเจตจำนงค์ เจ้าคณะตำบลห้วยใหญ่แทนอาจารย์ของท่าน ขออนุญาตบอกบุญแก่เพื่อนๆ ญาติสนิท มิตรสหายทุกท่าน มาร่วมกันสร้างกุศลครั้งนี้ด้วยกัน การทำบุญปิดทอง ฝังลูกนิมิตนั้น ได้กุศลมหาศาล ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าโบสถ์หลังหนึ่ง จะสามารถฝังลูกนิมิตได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและขอพระราชทานวิสุงคามสีมาได้เรียบร้อย ส่วนเหตุผลที่โบสถ์ต้องมีการฝังลูกนิมิตนั้น ขอยกไปเป็นบทความหน้า อาสาอธิบายให้ทุกท่านเข้าใจกันว่า ทำไมโบสถ์แต่ละหลังจึงจำเป็นต้องฝังลูกนิมิต และผูกสีมากันด้วยละกันครับ รายละเอียดการร่วมทำบุญ เป็นเจ้าภาพฝังลูกนิมิต ดูจากรูปด้านบนได้เลยครับ
"บุญกุศลจากการให้ธรรมะเป็นทาน ขออุทิศแด่เจ้ากรรมนายเวร คุณพ่อ คุณแม่ ปู่ย่า ตายาย ญาติสนิทมิตรสหาย ครูบา อาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่าน เทวดาทุกองค์ ทุกชั้น ทุกภูมิ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัมภเวสี และทุกๆชีวิตในสามภพด้วยเทอญ สาธุ"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น