เพื่อน มิตร สหาย เกลอ เสี่ยว
ในชีวิตของทุกๆคน ตั้งแต่เด็ก เติบใหญ่ ไปจนถึงแก่เฒ่า ย่อมต้องผ่านการมีเพื่อนมาตลอดช่วงชีวิต มากน้อยต่างกัน ตามแต่ละบุคคล แต่ละสถานะ และแต่ละภาระหน้าที่ที่ต่างมีไม่เหมือนกัน ความแตกต่างทางจำนวนคงเทียบไม่ได้กับคุณภาพของเพื่อน บางทีคนที่ตลอดชีวิตมีเพื่อนนับได้เกินพัน อาจจะสู้บางคนที่ตลอดชีวิตมีเพื่อนเพียงคนเดียว แต่มีความจริงใจที่สุดแม้ยามภาวะที่ความตกต่ำที่สุดของชีวิตมาเยือนไม่ได้
ตั้งแต่เริ่มพูด เดิน และวิ่งเล่นได้ เราอาจจะได้เริ่มสัมผัสกับการมีเพื่อนคนแรกที่เป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน สัญชาติญาณการเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ สอนให้เรารู้จักกับคำว่าการทำความรู้จัก เราเริ่มทักทายกับบุคคลแปลกหน้าที่เข้ามาหาเราเพื่อหวังจะค้นหาคำว่ามิตรภาพจากเราเช่นกัน แม้จะเป็นเพียงมิตรภาพในวัยเด็ก แต่นั่นก็คือรากฐานของการสร้างมิตรภาพครั้งแรกในชีวิต ทำให้เรารู้จักกับคำว่า "เพื่อน"
เพื่อนกลุ่มแรกที่ทุกคนคงจำได้ น่าจะเป็นเพื่อนวัยเด็กที่มีถิ่นฐานหรือบ้านอยู่ใกล้ๆกัน และมีโอกาสได้เล่นด้วยกัน เพื่อนกลุ่มนี้ หลายๆคนอาจจะไม่มีเหลือเลยตั้งแต่จบจากรั้วมหาวิทยาลัยจนเข้าสู่วัยทำงานหรือใช้ชีวิตในยามชรา เนื่องจากความไม่แน่นอนของชีวิต การย้ายถิ่นฐาน การมีรูปแบบชีวิตที่แตกต่างกันในแต่ละครอบครัว ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างประกอบกับปัจจัยร้อยแปด หลายๆคนเลยอาจต้องสูญเสียเพื่อนในวัยเด็กไปตลอดชีวิต โดยที่ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปหาเพื่อนได้ใหม่ตลอดไป ลองถามตัวคุณเองดูว่า เพื่อนในวัยเด็กที่วิ่งเล่นหยอกล้อกับคุณก่อนที่คุณจะเริ่มเข้าเรียน ที่คุณยังสามารถติดต่อเขาได้มีกี่คน และทุกวันนี้ คุณยังเจอเขาอยู่ไหม??
ตั้งแต่เริ่มพูด เดิน และวิ่งเล่นได้ เราอาจจะได้เริ่มสัมผัสกับการมีเพื่อนคนแรกที่เป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน สัญชาติญาณการเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ สอนให้เรารู้จักกับคำว่าการทำความรู้จัก เราเริ่มทักทายกับบุคคลแปลกหน้าที่เข้ามาหาเราเพื่อหวังจะค้นหาคำว่ามิตรภาพจากเราเช่นกัน แม้จะเป็นเพียงมิตรภาพในวัยเด็ก แต่นั่นก็คือรากฐานของการสร้างมิตรภาพครั้งแรกในชีวิต ทำให้เรารู้จักกับคำว่า "เพื่อน"

"เพื่อนในสถานศึกษา" กลุ่มที่สองของเพื่อน ที่เกือบทุกคนถ้ามีโอกาสได้เรียนหนังสือต้องมี ก็คือเพื่อนกลุ่มที่รู้จักกันในสถานศึกษา ผมไม่พยายามแบ่งว่า เป็นอนุบาล ประถม มัธยม หรือุดมศึกษา เพราะถือว่ารู้จักกันโดยการเข้าไปใช้ชีวิตในสถานศึกษาเหมือนกัน กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญที่สุดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เพราะเป็นวัยที่เพื่อนมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตในช่วงใกล้ๆจะโตไปจนถึงโตเต็มที่พร้อมที่จะมีหน้าที่การงาน ทำอะไรก็ทำเหมือนกัน ใช้ชีวิตคล้ายๆกัน ได้รับการอบรมปลูกฝังเหมือนๆกันเพราะมีครูบาอาจารย์คนเดียวกัน จึงทำให้เพื่อนกลุ่มที่สองนี้ มีความสำคัญที่สุดในชีวิตของทุกๆคน หลายๆคนก็ได้พบเพื่อนแท้จากกลุ่มนี้ หลายๆคนก็ได้ภรรยาหรือสามีมาจากความเป็นเพื่อนในวัยนี้ และในจำนวนที่เท่าๆกัน หลายๆคนก็เสียมิตรภาพเพราะการเลิกราหลังจากการเริ่มคบหากันในวัยนี้เช่นกัน
"เพื่อนที่ทำงาน" กลุ่มที่สาม บางคนที่โชคดีหน่อย อาจได้เพื่อนกลุ่มที่สามที่เปลี่ยนสถานภาพมาจากกลุ่มที่สอง เนื่องจากความเป็นเพื่อนกันในสมัยเรียน ความรักในสถาบันการศึกษาของกลุ่มของตนจึงทำให้มีโอกาสที่เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน บุคคลนั้นจึงมีโอกาสได้ไปอยู่รวมกันกับเพื่อนกลุ่มเดิมๆที่แปรสภาพมิตรภาพในรั้วสถานศึกษา เข้ามาอยู่ที่คอกในที่ทำงาน เพื่อนกลุ่มนี้มีผลต่อความคิดของเราน้อยมาก ด้วยวัยที่โตเต็มที่จึงทำให้แต่ละคนรู้สึกว่าตัวเองมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาชักจูง แต่เพื่อนกลุ่มนี้จะมีผลกับการดำรงชีวิตและกระแสสังคมต่อเราแทน ด้วยการที่เขาเหล่านั้นเป็นเพื่อนกลุ่มที่มีโอกาสเจอกันมากที่สุดในชีวิตปัจจุบันของแต่ละคน จึงต้องมีรูปแบบชีวิตที่เหมือนๆกัน เวลาทำงานตรงกัน วันหยุดตรงกัน มีครอบครัวอยู่ในกลุ่มเดียวกัน มีบ้านพักอยู่ใกล้ๆกัน กิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ก็ทำเหมือนๆกันตามนโยบายขององค์กร เลิกงานพร้อมๆกัน รับรู้ข่าวสารเหมือนๆกัน ก็เลยพลอยทำให้เพื่อนกลุ่มนี้ มีอิทธิพลกับเราแทบจะทุกอย่างในการดำรงชีวิตก็ว่าได้ ใช้สินค้าก็ยี่ห้อเดียวกันหรือคล้ายๆกัน เที่ยวที่เดียวกัน กินเหล้าร้านเดียวกัน จึงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเพื่อกลุ่มที่สาม เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตเราไม่น้อยไปกว่ากลุ่มที่สอง เพราะหากคนที่โชคดีเจอเพื่อนแท้จากกลุ่มนี้ได้อย่างน้อยสักหนึ่งคน ชีวิตการทำงานของเขาในองค์กรนั้นๆ คงจะมีอายุที่ยืนยาวขึ้นมาแน่ๆ แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่โชคร้ายไม่มีแม้สักคนเลยที่เป็นเพื่อนแท้ในกลุ่มนี้ อาจจะต้องเตรียมมองหางานใหม่ได้เลยทันทีที่อ่านบทความนี้จบ...
กลุ่มสุดท้าย "เพื่อนอื่นๆ" เพื่อนกลุ่มนี้ ไม่จัดเข้ากับกลุ่มใดๆในสามกลุ่มแรกที่ได้กล่าวถึงเลย เพราะการพบเจอกันของเพื่อนกลุ่มนี้ ต้องถือว่าเป็นพรหมลิขิตละกัน บางคนอาจเจอจากการเล่นกีฬาด้วยกัน บางคนอาจเจอจากการทำกิจกรรมร่วมกัน หรือแม้แต่บางคนอาจจะเป็นเพื่อนบ้านกันที่เพิ่งมารู้จักกันตอนโต เพราะการย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่หรือเปลี่ยนสถานที่ทำงาน จะพบเจอที่ใดนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่อยู่ที่จำนวนของเพื่อนแท้ในกลุ่มนี้ต่างหาก
ผมอธิบายแบ่งลักษณะเพื่อนตามวัยต่างๆให้ทุกท่านได้เข้าใจมาพอสมควรแล้ว อยากจะลองย้อนถามคุณดูว่า ในแต่ละกลุ่ม คุณมีเพื่อนแท้ในกลุ่มนั้นๆกี่คน และจนถึงปัจจุบันนี้ คุณเสียเพื่อนแท้ในแต่ละกลุ่มไปแล้วกี่คน และเพื่อนปัจจุบันที่คุณคบอยู่ล่ะ คุณกำลังจะได้เขามาเป็นเพื่อนแท้ หรือกำลังจะเสียเพื่อนแท้ไปกันแน่ ถ้ากำลังจะได้เขามาเป็นเพื่อนแท้ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณจะต้องถนอมน้ำใจเขา รักษามาตรฐานของมิตรภาพไว้ให้เหมือนเดิม เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าคุณและเขาจะเป็นเพื่อนแท้กันตลอดไป แต่หากคุณกำลังจะเสียเพื่อนแท้ไป คุณคงต้องลองย้อนนึกกลับไปดูตั้งแต่วันที่คุณเริ่มรู้จักกับเขา ว่าเขามีคุณค่ามีน้ำใจและมีความจริงใจกับคุณ มากพอที่จะแลกกับการยอมลดระดับความเป็นเพื่อนแท้ลงหรือไม่ หากมิตรภาพของคุณและเขาในช่วงเวลาทั้งหมดที่รู้จักกันมา ไม่มากพอกับการที่คุณคิดจะตัดความสัมพันธ์ ผมก็คงเห็นด้วย ถ้าจะเปลี่ยนเพื่อนคนนั้นให้กลายเป็นแค่ "คนเคยรู้จัก" ได้โดยสนิทใจ ลองหยิบกระดาษกับดินสอขึ้นมาดูนะครับ และลองไล่ดูว่าตั้งแต่เด็กจนปัจจุบัน คุณมีเพื่อนแท้แต่ละกลุ่มกี่คน ขอแสดงความยินดีกับคนที่ปัจจุบันเหลือเพื่อนแท้อยู่เกินสิบคนด้วยครับ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่า จะดูยังไงว่าคนไหนคือเพื่อนแท้ ลำพังปุถุชนสติปัญญาระดับบ้านๆอย่างผม คงไม่อาจเอื้อมถึงขนาดจะนิยามคำว่าเพื่อนแท้ได้เอง จึงขออนุญาตคุณทั้งหลาย ยกพระธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสกล่าวถึง มิตรแท้และมิตรเทียมดังนี้
ทรงแสดงมิตรเทียม (มิตตปฏิรูปกะ) ๔ ประเภทคือ
๑. มิตรปอกลอก
๒. มิตรดีแต่พูด
๓. มิตรหัวประจบ
๔. มิตรชวนในทางเสียหาย
พร้อมทั้งแสดงลักษณะของมิตรเทียมทั้งสี่ประเภทนั้น ประเภทละ ๔ ประการ (รายละเอียด หาอ่านได้จากนวโกวาททั่วไป)
ทรงแสดงมิตรแท้ ๔ ประเภทคือ
๑. มิตรมีอุปการะ
๒. มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข
๓. มิตรแนะประโยชน์
๔. มิตรอนุเคราะห์ (อนุกัมปกะ)*
พร้อมทั้งแสดงลักษณะของมิตรแท้ทั้งสี่ประเภทนั้น ประเภทละ ๔ ประการ (รายละเอียด หาอ่านได้จากนวโกวาททั่วไป)
* ในนวโกวาทใช้ว่า มิตรมีความรักใคร่ คือทุกข์ๆด้วย สุขๆด้วย โต้เถียงคนที่ติเตียนเพื่อน รับรองคนที่พูดสรรเสริญเพื่อน ส่วนมิตรมีอุปการะประเภทแรก คือป้องกันเพื่อนผู้ประมาท ป้องกันทรัพย์ของเพื่อนผู้ประมาท เมื่อมีภัยเอาเป็นที่พึ่งได้ เมื่อมีธุระออกทรัพย์ช่วยเหลือเกินกว่าที่ออกปาก ในที่นี้ได้เทียบให้ดูมิตรมีอุปการะกับมิตรอนุเคราะห์ ซึ่งมีชื่อคล้ายๆกันว่ามีลักษณะต่างกันอย่างไร
(ที่มาของมิตรเทียมและมิตรแท้ จาก พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ของมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พิมพ์รวมเล่มเดียวจบ ครั้งที่ ๑๖/๒๕๓๙ หน้า ๓๖๓)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น